13 Hours: The Secret Soldiers of Benghazi (2016) 13 ชม. ทหารลับแห่งเบนกาซี

13 Hours: The Secret Soldiers of Benghazi (2016)
13 ชม. ทหารลับแห่งเบนกาซี
Director: Michael Bay
Genres: Action | Drama | Thriller | War
Grade: B-
 
เป็นงานพักเบรกก่อนจะไปทำ Transformers: The Last Knight (2017) ที่บอกจะไม่ทำแต่สุดท้ายทำเองจนได้(ก่อนหน้านี้ได้บอกจะไม่ทำ Transformers: Age of Extinction (2014) แต่สุดท้ายทำซะดื้อๆ) คิดๆแล้วบางทีการทำ  Transformers จนมาถึงภาค 5 ได้ก็กลายเป็นเสน่ห์อย่างนึงที่ลืมไม่หลง ไม่ว่าจะฉากแอ็คชั่น งานภาพ หรือเทคนิคต่างๆล้วนบอกถึงความเป็นผู้กำกับ Michael Bay แทบทั้งสิ้น และการให้ใครมาทำหน้าที่นี้อาจทำให้โทนของหนังเปลี่ยนไป ยอมรับว่าเนื้อเรื่องจะประคับประคองได้ไม่สู้ดีแต่ส่วนของแอ็คชั่นคือความจัดเต็มจนคอแอ็คชั่นถูกใจหลายต่อหลายคน ขณะเดียวกันคือความเอียนที่ไม่ถูกปากใครอีกหลายคนเพราะความยืดยาวที่ไม่รู้จักจบเสียที เช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่ให้ความรู้สึกคล้ายกัน ทว่าจากที่รู้สึกเกินกลับกลายเป็นขาดเสียแทนมากกว่า จะว่าแล้วเนื้อเรื่องได้อิงจากเหตุการณ์จริงที่เอาจริงๆแล้วไม่ค่อยมีอะไรเท่าไรด้วยน่ะสิ พอกลายเป็นหนังจึงรู้สึกขาดไปบ้างในบางอารมณ์ กระนั้นรู้สึกมีบางอย่างที่กำลังพอดีอีกด้วย

Ninja Assassin (2009) นินจา แอซแซสซิน แค้นสังหาร เทพบุตรนินจามหากาฬ

Ninja Assassin (2009)
นินจา แอซแซสซิน แค้นสังหาร เทพบุตรนินจามหากาฬ
Director: James McTeigue
Genres: Action | Thriller
Grade: B-

ช่วงแรกของหนังเนี้ยทำได้น่าสนใจจนเกือบมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับประเภทของเรื่องนี้ที่ให้โทนราวกับหนังสยองขวัญมีแต่ความน่ากลัวเต็มไปหมด โดยเฉพาะความรุนแรงของการต่อสู้ที่ให้ความรู้สึกเกิดอาการเอียนได้ทันทีกับคนไม่ชอบเลือด ในตอนเปิดเรื่องจะเป็นการบอกถึงความน่ากลัวของนินจาที่มีหน้าที่สังหารเป้าหมายโดยไม่มีใครเหลือรอดสักคน แน่นอนว่าเปิดเรื่องมาพอจะเดาแนวได้กับการเกริ่นความเป็นนินจาที่เก่งกาจแค่ไหน ซึ่งความเก่งที่ฆ่าคนนี่แหละกลายเป็นความบันเทิงที่ยิ่งกว่าจะดูเอามันส์เพียวๆเพราะเล่นฆ่ากันแบบแขนขาด ขากระจุย หัวหลุด เลือดสาด ที่ต้องเน้นย้ำหน่อยเห็นจะเป็นเลือดที่ขนอะไรไม่รู้กันมามากมายชนิดที่ว่าฟันทีหนึ่งเลือดจะกระเด็นไม่ต่างกับลูกโป่งที่ใส่น้ำ เมื่อลูกโป่งแตกคือน้ำกระจาย ทำนองเดียวกับเลือดที่กระจายจนมันส์มือคนทำเทคนิค CGI ที่ใส่ได้อารมณ์เต็มเหนี่ยวเรื่องความรุนแรง แม้จะเกือบกลายเป็นหนังสยองขวัญแต่อดคิดไม่ได้เลยในความโหด โดยเฉพาะฉากเครื่องซักผ้าเป็นอะไรที่ผิดคาดและถ้าใส่ในหนังสยองขวัญจะเป็นอะไรที่เข้ายิ่งกว่าเข้าเสียอีก

The Corpse of Anna Fritz (2015) คน..อึ๊บ..ศพ

The Corpse of Anna Fritz (2015) | คน..อึ๊บ..ศพ
Director: Hèctor Hernández Vicens
Genres: Drama | Thriller
Grade: C+

"จะเป็นยังไงถ้าตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองกลายเป็นศพที่ฟื้นจากความตายแล้วมีผู้ชายกำลังใช้ร่างกายคุณเพื่อสำเร็จความใคร่"

เป็นไปตามที่บอกข้างต้นที่ใช้เป็นพล็อตเรื่องราวของหญิงสาวดาราคนดังที่ใช้ชื่อว่าแอนนา ฟริตซ์ (Alba Ribas) ต้องเสียชีวิตลงอย่างไม่ทราบสาเหตุและถูกนำตัวไปโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเพื่อชันสูตรศพ แต่ด้วยความที่เป็นคนดังและเป็นผู้หญิงสวยจึงกลายเป็นที่อยากพบเห็นในหมู่คนธรรมดาที่อยากรู้ว่า..มีสวยงามมากน้อยเพียงใด อีกทั้งยังเป็นที่หมายปองในหมู่ผู้ชายที่อยากได้เธอ ด้วยเสน่ห์ที่น่าหลงใหลของแอนนาทำให้พาว (Albert Carbó) เจ้าหน้าที่เก็บศพต้องขอเก็บรูปเธอไว้เป็นที่ระลึกก่อนจะพาเพื่อนอีก 2 คน ได้แก่ อีแวน (Cristian Valencia) และจาวี่ (Bernat Saumell) แอบเข้ามาดูศพ ช่วงแรกไม่มีอะไรนอกจากมาพบเพื่อชวนไปเที่ยวปาร์ตี้ แต่เรื่องได้เล่าไปถึงพาวที่บอกเพื่อนทั้งสองว่ามีศพดาราผู้หญิงมาอยู่ที่นี้เองแหละ ด้วยความสงสัยทำให้ทั้งสามเข้าไปห้องเก็บศพอย่างลับๆก่อนจะกลายเป็นว่าถูกกิเลสครอบงำนึกพิสดารลองกับศพที่นอนแน่นิ่ง ทว่าเรื่องโรคจิตที่เกิดขึ้นนั้นยังไม่เท่ากับที่แอนนาลืมตัวตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเธอดันมีชีวิต

The Green Mile (1999) ปาฏิหาริย์แดนประหาร

The Green Mile (1999)
ปาฏิหาริย์แดนประหาร
Director: Frank Darabont
Genres: Crime | Drama | Fantasy | Mystery
Grade: S
 
"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

ผลงานเรื่องที่ 2 ของผู้กำกับ Frank Darabont ที่ก่อนหน้านี้มากับผลงานระดับขึ้นหิ้งอย่าง The Shawshank Redemption (1994) จนกลายเป็นหนังยอดเยี่ยมในใจใครหลายคน มาครั้งนี้ได้แนวทางมาจากหนังสือที่เขียนโดย Stephen King ซึ่งเกี่ยวกับนักโทษด้วยเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่ายังไงทำไมหนังเรื่องนี้ที่ยาว 3 ชม.ถึงไม่มีความน่าเบื่อเลยสักนิด ความอัศจรรย์ของเรื่องนี้คือการทำให้น่าติดตามตลอดเวลาทั้งที่จริงแทบจะไม่มีอะไรมากนักด้วยซ้ำเพราะวนเวียนกันอยู่ในคุกเสียมาก ว่าแล้วก็น่าทึ่งไม่น้อยเพราะเวลาของเรื่องนี้ล้วนมีค่าที่พลาดหรือขาดไม่ได้เลย ที่น่าสนใจคือเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาจากชายชราคนหนึ่ง (Dabbs Greer) ที่รู้สึกอ้างว้างเดี่ยวดายทำเหมือนกับไม่รู้จะอยู่ยังไงต่อไปในชีวิตนี้ ตอนเปิดเรื่องอารมณ์ค่อนข้างหดหู่ในมุมมองของคนสูงอายุ อย่างแรกคือเต็มไปด้วยคนแก่ในบ้านพักคนชรา ทุกคนดูเหมือนปล่อยให้ลมหายใจของตัวเองผ่านไปวันๆรอเวลาที่จะจากโลกนี้ไป ทุกอย่างที่คนแก่ทำกันล้วนดูเชื่องช้า มีแต่ความเสื่อมโทรมที่เกิดจากร่างกายที่มีอายุมากขึ้น เป็นการรวมบั้นปลายชีวิตที่ไม่เหลืออะไรให้ทำนอกจากการนั่งดูทีวีที่มีแต่รายการที่แสนน่าเบื่อก่อนจะมาหยุดที่ช่องหนังขาวดำที่เป็นชายหญิงเต้นรำอย่างสวยงาม สาเหตุที่มาหยุดดูช่องหนังขาวดำที่เก่าแทนที่จะดูอะไรที่ทันสมัยเป็นภาพสีมาจากการระลึกถึงความหลัง วันเก่าๆที่ตัวเองยังเดินได้สบาย มีความจำที่ดี สามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่สนความแก่ และความทรงจำครั้งสมัยนั้นที่มีเรื่องราวน่ามหัศจรรย์เกิดขึ้นกับตัวเอง

The Swordsman (1990) เดชคัมภีร์เทวดา

The Swordsman (1990)
เดชคัมภีร์เทวดา
Director: Siu-Tung Ching,King Hu,Raymond Lee,Hark Tsui
Genres: Action | History
Grade: A
 
เพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับ"เดชคัมภีร์เทวดา"กับ"กระบี่เย้ยยุทธจักร" ทั้ง 2 ชื่อนี้คือเรื่องเดียวกันตามบทประพันธ์ของกิมย้ง จะเพียงแค่ว่าฉบับหนังได้มีการดัดแปลงให้กระชับเนื้อเรื่องมากขึ้นโดยมุ่งความสำคัญไปที่การชิงคัมภีร์รัศมีตะวัน ในเรื่องจะกล่าวถึงคัมภีร์รัศมีตะวันที่หายสาบสูญไปจากราชสำนักเพราะถูกขโมยไปและกำลังถูกขันที (Shun Lau) ตามจับผู้ที่ชิงคัมภีร์ดังกล่าวไป ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ที่เล่งฮู้ชง (Samuel Hui) ศิษย์เอกสำนักหัวซานกับงักเล้งซัง (Cecilia Yip) ศิษย์น้องร่วมสำนักที่กำลังไปส่งข่าวที่โรงเตี้ยมเพื่อนำข่าวของคัมภีร์รัศมีตะวันกลับมา ทว่าในโรงเตี้ยมถูกโจมตีจากขันทีจนเกิดล้มตายและมีเพียงเล่งฮู้ชงที่รู้ความจริงเกี่ยวกับที่ซ่อนคัมภีร์รัศมีตะวันจนกลายเป็นที่หมายปองของทั้งสองฝ่าย ทั้งขันทีที่อยากได้เก็บไว้ใช้ซะเองกับงักปุ๊กคุ้ง (Siu-Ming Lau) อาจารย์ของเล่งฮู้ชงที่มาจากสำนักหัวซานที่ต้องการนำไปใช้เพื่อความมักใหญ่ใฝ่สูงของตนเอง การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นได้สร้างปัญหาไปถึงพรรคสุริยันจันทราจนเกิดเรื่องฆ่าฟันเพื่อให้ได้คัมภีร์มาโดยไม่สนใครหน้าไหนสร้างความวุ่นวายแก่ยุทธภพ จะมีเพียงเล่งฮู้ชงที่จะกู้สถานการณ์ได้ แต่จะเลือกข้างไหนเขาก็ต้องเป็นศัตรูกับอีกข้างตลอดกาล

U.S. Marshals (1998) คนชนนรก

U.S. Marshals (1998)
คนชนนรก
Director: Stuart Baird
Genres: Action | Crime | Thriller
Grade: B
 
ไม่ใช่ภาคต่อที่มีความเกี่ยวข้องกับ The Fugitive (1993) แต่เป็นการหยิบยืมตัวละครแซมมวล เจอราร์ด (Tommy Lee Jones) ผู้ตรวจการสหรัฐมาสานต่อเนื้อเรื่องใหม่โดยยังคงพล็อตเรื่องเกี่ยวกับนักโทษหลบหนีเช่นเคย ซึ่งคนที่หนีคือมาร์ค เชอริแดน (Wesley Snipes) ชายผิวดำที่หลบหนีไประหว่างส่งตัวนักโทษด้วยเครื่องบิน ในขณะที่ทางเนื้อหาจะไม่แตกต่างจากภาคก่อนที่ยังเกี่ยวกับแพะรับบาปและต้องการพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้ผิดจึงทำการหลบหนีเพื่อไปหาความจริงที่ทำให้ตัวเองถูกจับ จะเห็นว่าในทางเนื้อเรื่องไม่มีอะไรมากแค่หวังเอามันส์อย่างเดียว ความมันส์ที่ว่าคือการไล่ล่าระหว่างผู้หนีที่เป็นนักโทษกับผู้ไล่ตามที่เป็นเจ้าหน้าที่ ในภาคต่อนี้จะมุ่งเน้นไปที่อารมณ์ของแอ็คชั่น-ทริลเลอร์เป็นหลักผิดกับภาคแรกที่เน้นทางทริลเลอร์ไล่ล่าอย่างเดียวซะเป็นส่วนใหญ่ การเสริมแอ็คชั่นเข้ามาจึงกลายเป็นอีกขั้นของความมันส์กับเนื้อเรื่องที่ค่อยมีอะไรแต่พอมีจะอุดมไปด้วยความสนุกขึ้นมาทันที

Dead Calm (1989) ตามมาสยอง

Dead Calm (1989)
ตามมาสยอง
Director: Phillip Noyce
Genres: Horror | Thriller
Grade: B+
 
นี่คือหนังที่มีความ Underrate หรือหนังดีมีคุณภาพที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันมากนัก สาเหตุที่มั่นใจว่าเป็นเช่นนั้นส่วนหนึ่งมาจากพล็อตเรื่องที่มีตัวละครหลักทั้งหมดเพียง 3 ตัวละครเท่านั้น ที่สำคัญยังดำเนินเรื่องภายใต้ข้อจำกัดของฉากที่มีแค่เรือกับทะเล เหตุการณ์จะเริ่มขึ้นในคืนที่โจ อินแกรม (Sam Neill) กลับจากงานราชการทหารและกำลังรอคนรักหรือเรย์ อินแกรม (Nicole Kidman) มารับที่สถานีรถไฟ ทว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นเมื่อเรย์ที่กำลังขับรถเกิดเสียหลักจนต้องเสียแดนนี่ (Joshua Tilden) ลูกชายตัวน้อยของเธอ การสูญเสียในครั้งนี้ทำให้เรย์เก็บฝังใจอยู่ตลอดเวลาในความผิดพลาดของตัวเอง ทำให้โจต้องหาวิธีผ่อนคลายด้วยการพานั่งเรือใช้ชีวิตอยู่กลางทะเลสักระยะหนึ่งเผื่อว่าจะทำให้เรย์รู้สึกปล่อยวางจากอดีตลงบ้าง และทุกอย่างไปได้ดีกับการใช้ชีวิตบนเรือเสมือนบ้านที่มีสะน้ำแอ่งใหญ่จนกระทั่งเจอเรืออีกลำที่กำลังจม ระหว่างเรือของพวกเขากับเรือที่ใกล้จมได้มีชายคนหนึ่งกำลังพายเรือชูชีพเข้ามาหาด้วยอาการแตกตื่น ชื่อของเขาคือฮิวอี (Billy Zane) และต้องการบอกว่าเรือลำนั้นไม่มีเหลือใครมีชีวิตรอด อย่าได้ไปยุ่งกับเรือลำนั้นเด็ดขาด

The Orphanage (2007) สถานรับเลี้ยงผี

The Orphanage (2007)
สถานรับเลี้ยงผี
Director: J.A. Bayona
Genres: Drama | Horror | Mystery | Thriller
Grade: A
 
จริงๆมันคือหนังผีแต่น่าจะเป็นประเภทแค่วิญญาณธรรมดามากกว่าเพราะไม่น่าเชื่อว่าตอนจบจะทำให้"ผี"เป็นเพียงส่วนประกอบที่อิงเอาจาก"ความเชื่อ"ส่วนบุคคล เนื่องจากทุกอย่างที่เกิดขึ้นเกินความคาดหมายเอาไว้พอสมควร ไม่แปลกใจเลยที่ The Orphanage หรืออีกชื่อ El Orfanato จะเป็นหนังสเปนที่ได้รางวัลภายในประเทศหรือรางวัลโกย่าไปถึง 7 สาขา โดยเข้าชิงทั้งหมดถึง 14 สาขาเลยทีเดียว แต่ก่อนจะมาเป็นความสะพรึงต้องย้อนกลับไปที่เรื่องราวของลอร่า (Belén Rueda) อดีตเด็กกำพร้าที่ตอนนี้มีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมหน้าพร้อมตา มีทั้งคาร์ลอส (Fernando Cayo) สามีที่รักเธอ และซิโมน (Roger Príncep) ลูกชายเพียงคนเดียวที่รักเท่าชีวิต ครอบครัวที่สุขสันต์ได้ย้ายอาศัยมายังบ้านหลังใหม่ที่เดิมคือสถานรับเลี้ยงเด็กที่ลอร่าเคยมาอยู่สมัยยังเด็ก ทุกอย่างไปได้ดีจนกระทั่งซิโมนเริ่มมีพฤติกรรมเกี่ยวกับเพื่อนไร้ตัวตน แน่นอนว่าคาร์ลอสที่เป็นถึงหมอมองเป็นปกติของช่วงวัยเด็กเพราะเป็นเรื่องของจินตนาการ ทว่ากับลอร่าไม่มองเช่นนั้นเพราะรู้สึกเกินความรู้สึกของเด็กที่อยากสนุกอย่างเดียว หลายอย่างดูจริงจังมากไปเหมือนเพื่อนในจินตนาการมีตัวตนจริงๆก็ไม่เชิง และที่ผิดปกติคือซีโมนรู้ความจริงบางอย่างที่ทำให้ลอร่าต้องตกใจเมื่อความลับที่ปิดเอาไว้รู้กันแค่เธอกับคาร์ลอสถูกเปิดเผยว่าซีโมนไม่ใช่ลูกแท้ๆและกำลังป่วยเป็นโรค HIV ซึ่งเขากำลังจะตาย

Creed (2015) ครีด

Creed (2015) | ครีด
Director: Ryan Coogler
Genres: Action | Drama | Sport
Grade: A+
 
อโดนิส จอห์นสัน (Michael B. Jordan) เด็กหนุ่มที่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักมวยขนาดที่ว่ามีเวลาว่างจากการทำงานจะลองไปขึ้นชกมวยที่ไม่เป็นทางการเพื่อทดสอบฝีมือตัวเอง แต่ก่อนที่จะมาถึงขั้นนี้ได้ต้องเริ่มตั้งแต่ยังไม่ทันลืมตาดูโลก ตอนที่พึ่งรู้ว่าตัวเองคือลูกนอกสมรสของอพอลโล ครีด (Carl Weathers) อดีตแชมป์โลกที่เสียชีวิตจากการชกมวย รวมถึงการเสียแม่แท้ๆจนต้องไปอยู่ศูนย์เด็กกำพร้า ซึ่งที่นั้นทำให้เขาเป็นเด็กมีปัญหาแม้จะเป็นคนดีเพราะชอบหาเรื่องชกต่อยตลอดเวลา หลังจากนั้นคือตอนที่แมรี่แอน ครีด (Phylicia Rashad) เข้ามาขอเลี้ยงดูประหนึ่งลูกในไส้ ส่งเสริมเลี้ยงดูอย่างดีจนสามารถหางานทำในบริษัท ทว่าชีวิตที่ต้องการไม่ใช่แบบนี้ ทุกวันที่เลิกงานจะเปิดวีดีโอย้อนหลังการชกมวยเพื่อเก็บท่าทางการชก พยายามเก็บข้อมูลให้มากที่สุดเพราะไม่มีเทรนเนอร์แนะนำ จนกระทั่งตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อไปเป็นนักมวย แต่ก่อนจะถึงตอนนั้นต้องไปฟิลาเดลเฟีย ไปหาคนที่ช่วยปลุกปั้นได้ ซึ่งเขาคือร็อคกี้ บัลบัวร์ (Sylvester Stallone)

Crimson Peak (2015) ปราสาทสีเลือด

Crimson Peak (2015)
ปราสาทสีเลือด
Director: Guillermo del Toro
Genres: Drama / Fantasy / Horror / Mystery / Romance / Thriller
Grade: B

จะเห็นได้ชัดว่าผู้กำกับ Guillermo del Toro มีความสามารถในการนำเสนอสไตล์โกธิคอย่างช่ำชอง สังเกตได้จากผลงานก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะ Hellboy (2004),Pan’s Labyrinth (2006),Hellboy II: The Golden Army (2008) หรือแม้แต่ Pacific Rim (2013) ที่ว่าขายแอ็คชั่นก็ต่างมีเอกลักษณ์ในเรื่องขององค์ประกอบศิลป์ด้วยอารมณ์ไม่น่าไว้ใจ หม่นหมอง และแฟนตาซีผสมผสานรวมเข้าด้วยกัน ซึ่งความโดดเด่นนี่เองจึงกลายเป็นลายเซ็นต์อย่างหนึ่งของผู้กำกับที่สร้างความน่าสนใจไม่น้อยเลย พอมาเรื่อง Crimson Peak ด้วยความที่หนังสอดคล้องกับยุควิคตอเรียจึงทำให้องค์ประกอบศิลป์ค่อนข้างจัดเต็ม ทั้งการแต่งกาย บรรยากาศ ข้าวของเครื่องใช้ ตลอดจนสิ่งที่น่าดึงดูดมากที่สุดคือคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ดูทรุดโทรมชื่อว่า"อัลเลอร์เดล  ฮอลล์" ด้วยเอกลักษณ์ที่ดึงจุดเด่นของยุคสมัยทำให้แปลกตาไม่ใช่น้อย ซึ่งก็รวมถึงความแปลกของเนื้อเรื่องที่ไม่รู้ว่าควรจะเป็นหนังผีรูปแบบไหนหรือเป็นสิ่งที่ตัวละครจินตนาการขึ้นมาเองเพราะไม่ทันไรทันทีที่เปิดเรื่องก็ชวนให้ผู้ชมเกิดตระหงิดใจในคำถามที่เอยขึ้นของตัวละครนางเอกที่อยู่สภาพเหนื่อยล้าทั้งกายและใจท่ามกลางหิมะขาวโพลนว่า"ผีมีจริง จบลงแค่นี้"

Girl House (2015) เกิร์ลเฮ้าส์

Girl House (2015) | เกิร์ลเฮ้าส์
Director: Jon Knautz, Trevor Matthews
Genres: Horror | Thriller
Grade: B
 
Girl House เว็บไซต์ผู้ให้บริการทางอารมณ์สำหรับเพศชายหรือสื่อลามกออนไลน์ที่สนทนาผ่านท่าทางสนองตัณหาให้อีกฝ่ายด้วยวีดีโอ ในยุคที่สื่อออนไลน์เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันย่อมปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเข้าไปผัวพันกับอินเทอร์เน็ตไม่ใช่เรื่องจำเป็น เนื่องจากทุกย่างก้าวตลอดจนทุกการสื่อสารล้วนมาจากอินเทอร์เน็ตหรือระบบสารสนเทศไร้สายที่เชื่อมโยงเข้าหากันได้เพียงไม่กี่หยิบมือ การเข้าถึงที่รวดเร็วและแสนสะดวกสบายจึงเป็นช่องทางทำกินโดยยึดหลักความเป็นเพศชายที่ปฏิเสธไม่ได้คือการสนองตัณหาด้วยอารมณ์ทางเพศ ขณะที่เพศหญิงไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ตามยังคงเป็นเครื่องมือทางอารมณ์เพศ ทว่าความแตกต่างของเพศชายกับเพศหญิงที่มักจะมีอีกฝ่ายข่มเสมอได้แปรสภาพเป็นอีกฝ่ายเข้าหาแบบอ้อมๆและอีกฝ่ายยอมรับแต่โดยดี การค้าขายบริการทางเพศแบบไร้การสัมผัสใช้แค่ตาดูหูฟังคือเครื่องพิสูจน์ความต้องการทางเพศด้วยปัจจัยสำคัญคือเงินกับชีวิตที่ดีขึ้น ส่วนผู้ใช้บริการหรือท่านชายที่ได้เสียตังค์ใช้บริการก็ได้ความสุขทางอารมณ์ด้วยการดูอย่างมีความสุขบนเรือนร่างของหญิงสาวที่เย้ายวนผ่านจอโน๊ตบุ๊คหรือโทรศัพท์ แน่นอนว่าจุดประสงค์ของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกันเพื่อมาทำงานเปลืองตัวเช่นนี้ แต่มองอีกมุมหนึ่งในเรื่องของสังคมที่ไม่ค่อยรับรู้ชีวิตในโลกจริงๆก็พอจะเป็นเครื่องยืนยันว่าในโลกออนไลน์เป็นคนแบบไหนก็ตามถ้าในโลกความจริงไม่มีใครจำได้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ข้อแตกต่างระหว่างโลกจริงกับโลกออนไลน์จึงเป็นเส้นกั้นบางๆที่ต่างส่งผลกระทบต่อกัน ในโลกออนไลน์คือนางโป้เปลือยที่ทุกคนเห็นว่าเซ็กซี่แต่พอชีวิตจริงลบเครื่องสำอางคืนความเป็นคนธรรมดาก็คือหนึ่งในสังคมหาเช้ากินค่ำ

The Martian (2015) เดอะ มาร์เชียน กู้ตาย 140 ล้านไมล์

The Martian (2015)
เดอะ มาร์เชียน กู้ตาย 140 ล้านไมล์
Director: Ridley Scott
Genres: Adventure | Drama | Sci-Fi
Grade: A
 
"อย่างแรกจะทำอะไรเมื่อถูกปล่อยให้อยู่บนดาวอังคารคนเดียว"

สร้างจากนิยายขายดีติดอันดับ New York Time Bestseller กว่า 100 สัปดาห์ โดย Andy Weir วิศวกรรมซอฟต์แวร์ที่ไม่มีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ระดับอวกาศแต่ด้วยความขยันทำให้ออกไอเดียการเอาตัวรอดบนดาวอังคารได้ตรงหลักวิทยาศาสตร์ที่หาได้ในคาบเรียน ความพยายามที่จะซื่อสัตย์ต่อโลกความเป็นจริงให้มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริงบนดาวอังคารจากที่น่าเหลือเชื่อกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่คาดไม่ถึงว่าจะสามารถประยุกต์ข้าวของที่เหลืออยู่ในการประทังชีวิต นั้นเองที่ทำให้การเอาตัวรอดที่ว่ายากในดาวที่ไร้ชีวิตสามารถอยู่ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งเรื่องราวการเอาตัวรอดไม่ได้ถูกมองเพียงแค่ด้านเดียวจากดาวอังคาร แต่รวมถึงโลกที่ค้นหาหนทางในการช่วย คงไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าการช่วยเหลือแม้จะใช้ทุนมหาศาลกับการหาวิธีผิดถูกเพื่อช่วยเหลือให้เร็วที่สุดแต่ยังคำนึงถึงคุณธรรมมากกว่าผลประโยชน์ที่ปล่อยทิ้งอ้างว้าง เรื่องราวเกิดขึ้นเพียงชั่ววูบเดียวเมื่อทีมนักสำรวจดาวอังคารต้องเจอพายุและพยายาเดินกลับไปที่จรวด ซึ่งคนที่ไม่อาจไปถึงจรวดได้คือมาร์ค แวทนีย์ (Matt Damon) เพราะถูกพายุพัดหายไปโดยถูกคิดว่าไม่น่ารอดกลับมาได้ และด้วยสถานการณ์ที่ไม่อาจยื้อเวลาเสี่ยงดูรอจึงตัดสินขับจรวดออกจากดาวอังคารก่อนที่พายุจะพัดกระหน่ำหนักกว่าเดิม ซึ่งนั้นเองที่ทำให้ทีมสำรวจดาวอังคารที่นำโดยเมลิสซา ลิวอิส (Jessica Chastain) กับสมาชิกอีก 4 คน ได้แก่ ริค มาร์ติเนซ (Michael Pena),เบธ โจแฮนส์เซน (Kate Mara),คริส เบ็ค (Sebastian Stan) และอเล็กซ์ โวเกล (Aksel Hennie) สะเทือนใจกับเหตุการณ์ดังกล่าวและทำได้เพียงกลับโลกอย่างช้าๆจากเส้นทางที่ห่างไกล แต่หารู้ไม่ว่าการเสียสละที่น่าจะเสียใครไปกลับเป็นการปล่อยให้อยู่คนเดียวเมื่อมาร์ครอดชีวิตจากพายุบนดาวอังคารและหาหนทางใช้ชีวิตประจำวันให้อยู่ยาวที่สุดเพื่อหาวิธีกลับบ้าน ซึ่งฝ่ายที่รู้เรื่องว่ามาร์คยังไม่ตายคือกลุ่มองค์กรนาซ่าที่นำโดยเท็ดดี แซนเดอส์ (Jeff Daniels) และพยายามติดต่อสื่อสารด้วยวิธีที่ง่ายและเข้าใจถึงกันมากที่สุด เนื่องจากมาร์คที่อยู่ไกลถึงดาวอังคารไม่สามารถส่งข้อมูลใดๆได้จากอุปกรณ์ที่เหลือไม่กี่อย่าง สิ่งที่ทำได้คือการคิดและคำนวณความเป็นไปได้ทุกอย่างจากทรัพยากรที่มีอยู่ข้างตัว

Terminator Genisys (2015) ฅนเหล็ก มหาวิบัติจักรกลยึดโลก

Terminator Genisys (2015) | ฅนเหล็ก มหาวิบัติจักรกลยึดโลก
Director: Alan Taylor
Genres: Action | Adventure | Sci-Fi | Thriller
Grade: B-
 
ถ้าตามเนื้อผ้าหรือเนื้อเรื่องคงจะหาอะไรมาสานต่อไม่ได้อีกแล้วเพราะเรื่องราวของคนกับเครื่องจักรได้เห็นกันครบทั้ง 4 ภาค ตั้งแต่การไล่กระบวนการโกงอดีตของฝ่ายเครื่องจักรที่ไม่อาจยื้อทำสงครามในอนาคตจนต้องส่งหุ่นยนต์มาพิฆาตบุคคลสำคัญที่จะเป็นปรปักภายภาคหน้าได้ ซึ่ง The Terminator (1984) มีเนื้อเรื่องที่มองเพียงผิวเผินไม่ต่างกับหนังแอ็คชั่นทุนต่ำที่บรรเลงอย่างมันส์ระห่ำ แต่ได้แฝงความคิดที่ล้ำสมัยเกี่ยวกับเครื่องจักรที่ไม่ได้ถูกควบคุมจากมือมนุษย์แล้วเรียกตัวเองว่าสกายเน็ตด้วยอุดมการณ์ล้างเผ่าพันธุ์ให้หมดสิ้นไปเนื่องจากมองว่าเป็นภัยคุกคามที่แท้จริง โดยเรื่องราวในภาคแรกจะเห็นว่ามีการย้อนเวลาจากอนาคตมาอดีตเพื่อสังหารผู้ให้กำเนิดผู้นำต่อต้านเครื่องจักร ซึ่งเรื่องราวก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของหุ่นสังหารและกลายเป็นการวนลูปข้ามเวลาเกี่ยวกับการให้กำเนิดผู้นำต่อต้านในอนาคต เนื่องจากคนที่ถูกส่งมาช่วยจากอนาคตคือพ่ออย่างไม่ต้องสงสัย แม้เรื่องราวจะจบลงไปแล้วส่วนนึงของการตัดไฟแต่ต้นลมแต่ไม่ได้หมายความว่าอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแต่เป็นการยืดเวลาออกไปจนกระทั่งใน Terminator 2: Judgment Day (1991) ที่ยังได้ผู้กำกับ James Cameron ผู้ให้กำเนิดคนเหล็กจากฝันร้ายมาสร้างเป็นหนังได้สานเรื่องราวหลังเหตุการณ์ภาคแรกด้วยการให้ฝ่ายเครื่องจักรส่งหุ่นสังหารมากำจัดเช่นเดิม ทว่าที่แตกต่างจากเหตุการณ์ครั้งก่อนคือมีหุ่นสังหารมากกว่าหนึ่งตัวโดยแบ่งเป็นสองฝ่ายระหว่างสกายเน็ตที่พัฒนาหุ่นยนต์มีความสามารถกลายเป็นโลหะเหลวได้กับฝ่ายต่อต้านเครื่องจักรที่ได้ลงโปรแกรมหุ่นสังหารรุ่นเดียวกับภาคแรกมาเพื่อปกป้อง แม้จุดเริ่มต้นจะคล้ายกันในส่วนของการข้ามเวลามาเพื่อเปลี่ยนแปลงอดีตแต่มีหลายสิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือการเริ่มต้นของสกายเน็ตในช่วงพัฒนา ซึ่งภารกิจของภาคนี้จะไม่ใช่แค่รักษาชีวิตแต่รวมถึงขจัดต้นตอไปอีกด้วย จนมาถึงภาค Terminator 3: Rise of the Machines (2003) ที่เป็นภาคสุดท้ายและมีพล็อตเรื่องไม่แตกต่างจากสองภาคก่อนแต่เลือกจบลงด้วยการเกิดวิกฤตินิวเคลียร์ถล่มโลกและสกายเน็ตเป็นฝ่ายชนะ ซึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์เกือบสูญสิ้นแต่ยังเหลือผู้นำต่อต้านเครื่องจักรที่รอดมาได้ แม้จะพยายามหลีกเลี่ยงวันสิ้นมนุษยชาติมาหลายต่อหลายครั้งแต่สิ่งหนึ่งที่เห็นคือต่อให้แก้ไขอดีตสำเร็จไม่ได้แปลว่าอนาคตจะเปลี่ยนไปเสียทั้งหมดแต่เป็นการซื้อเวลาต่อรองซึ่งท้ายที่สุดก็ตกลงมาเป็นดังภาคแรกที่เล่าเรื่องราวการต่อสู้ของคนกับเครื่องจักรโดยมีการวนลูปที่ชัดเจน

Flightplan (2005) ไฟลท์แพลน เที่ยวบินระทึกท้านรก

Flightplan (2005)
ไฟลท์แพลน เที่ยวบินระทึกท้านรก
Director: Robert Schwentke
Genres: Drama | Mystery | Thriller
Grade: C+
 
ไม่รู้ทำไมแต่การรับรู้สิ่งต่างๆของเรื่องนี้เป็นอะไรที่ไม่เกินความคาดหมายว่าจะมาประมาณไหน ซึ่งถ้ามองในแง่เซอร์ไพรส์ที่มีทั้งหมด 2 ชั้นด้วยกันแล้วนี่อาจจะต้องโทษที่การเล่าเรื่องยังไม่ดูน่าเสียถือพอที่จะให้ความเซอร์ไพรส์มีพลังให้จนน่าอึ้ง อันที่จริงการทำส่วนระทึกขวัญยังดูเข้าท่ามีอะไรให้ตื่นเต้นอยู่บ้างและพยายามเอาใจช่วยอยู่เสมอว่าสิ่งที่หายไปอยู่ที่ไหน ในทางกลับกันสิ่งที่หายไปอาจไม่ได้หายไปเลยแต่อาจเป็นเพียงการสมมุติจากจิตใต้สำนึกที่กำลังโศกเศร้าจากการสูญเสีย เมื่อรู้สึกตัวว่าสิ่งที่ตัวเองรักหายไปก็เกิดอาการโวยวายไม่พอใจว่าหายได้อย่างไร สิ่งที่หายไปในภาวะความเครียดไม่แตกต่างจากการเสพติดที่ขาดสิ่งนั้นจะรู้สึกหงุดหงิดและสะเทือนใจ

Under Siege 2: Dark Territory (1995) ยุทธการยึดด่วนนรก 2

Under Siege 2: Dark Territory (1995)
ยุทธการยึดด่วนนรก 2
Director: Geoff Murphy
Genres: Action | Adventure | Thriller
Grade: C+
  
กลับมาอีกครั้งกับเคซี่ย์ ไรแบ๊ค (Steven Seagal) หลังจากภาคแรกเป็นพ่อครัวกู้เรือรบจากผู้ร้ายได้สำเร็จก็ถึงคราวดวงซวยอีกครั้งเมื่อครั้งนี้ผู้ร้ายที่ยำขบวนโดยทราวิส เดน (Eric Bogosian) และมาร์คัส เพนน์ (Everett McGill) บุกยึดรถไฟเพื่อใช้เป็นแผนการขโมยดาวเที่ยมโจมตีจากฟากฟ้าแบบไม่ให้มีใครจับได้ ทำให้เคซี่ย์ต้องกลับมากู้สถานการณ์อีกครั้งโดยมีบ็อบบี เซค (Morris Chestnut) เด็กขนของที่จะมาเป็นผู้ช่วยจัดการกับผู้ก่อการร้ายกลุ่มใหม่และยังมีซาร่าห์ (Katherine Heigl) หลานสาวคนสวยของเขาเป็นตัวประกัน พล็อตเรื่องแทบไม่แตกต่างจากภาคแรกแม้แต่นิดเดียวแค่เปลี่ยนตัวละครกับสถานที่ยึดแค่นั้น ซึ่งเมื่อลองเทียบกับภาคแรกสักหน่อยจะค้นพบว่ารายละเอียดเล็กๆยังเหมือนภาคแรกอย่างเรื่องวันเกิด ในเรื่องกล่าวถึงวันเกิดของซาร่าห์แต่ตัวหนังไม่ได้ลงการจัดงานปาร์ตี้อะไรจนกระทั่งเคซี่ย์โชว์ความสามารถของพ่อครัวให้กลุ่มพ่อครัวในขบวนรถไฟได้ดูและแอบทำเค้กอย่างสบายใจราวกับแขกวีไอพีเพื่อเซอร์ไพรส์หลานสาวของตัวเอง แน่นอนว่าทำนองจัดงานวันเกิดก็เกิดขึ้นในตอนต้นของหนังและสถานการณ์ต่อมาไม่ต่างกันคือโดนยึดอีกครั้ง แต่ความแตกต่างการยึดเรือกับรถไฟออกจากแตกต่างอยู่บ้างเรื่องกลุ่มตัวร้ายที่เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่ารถไฟที่มีงานวันเกิดรอเซอร์ไพรส์ขบวนนี้โดนยึดแน่ๆเพราะไม่ทันก็เปิดเรื่องกลุ่มผู้ก่อการร้ายจำนวนมากจัดการคนคุมเส้นทางรถไฟอย่างไม่รีรอและพายกขบวนไปขึ้นรถไฟอย่างรวดเร็ว ผิดกับภาคแรกที่กว่าจะยึดได้ต้องวางแผนตีสนิทอย่างดีจึงรู้สึกได้ทันทีถึงข้อแตกต่างของสองกลุ่มผู้ก่อการร้าย ถ้าถามว่าชอบแบบไหนระหว่างช้ากับเร็วจะตอบว่าแบบช้าเพราะรู้สึกมีการปูเรื่องราวกับตัวละคร จะไม่เหมือนแบบเร็วที่มายึดก็ยึดเลย อันที่จริงน่าจะแฝงตัวมาแบบภาคแรกแล้วหาจุดเซอร์ไพรส์ในการยึดรถไฟน่าจะเข้าท่ากว่า

Under Siege (1992) ยุทธการยึดเรือนรก

Under Siege (1992)
ยุทธการยึดเรือนรก
Director: Andrew Davis
Genres: Action | Thriller
Grade: B+
 
 เคซี่ย์ ไรแบ๊ค (Steven Seagal) พ่อครัวบนเรือประจัญบานที่ไม่มีใครทำอาหารได้อร่อยเท่าเขาที่มีเอกลักษณ์ร่างกายใหญ่โตและไม่ยอมใครง่ายๆกำลังทำอาหารชุดพิเศษให้เนื่องในวันเกิดของกัปตันอดัม (Patrick O'Neal) แต่แล้วก็เกิดเหตุชุลมุนในงานปาร์ตี้ขึ้นจากผู้ก่อการร้ายที่บุกยึดเรืออย่างไม่ทันตั้งตัวโดยมีกบฏทหารคริลล์ (Gary Busey) เป็นคนบงการวางแผนยึดเรือรบอย่างไม่มีใครระมัดระวังตัวและได้รับการร่วมมือกับวิลเลี่ยม  (Tommy Lee Jones) อดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอที่อยากล้างแค้นกับองค์กรด้วยการยิงจรวดถล่มทั้งเมืองให้ราบคาบสาแก่ใจ ทว่าการยึดเรือต้องพบอุปสรรคเพราะเคซี่ย์ไม่ใช่พ่อครัวที่ทำอาหารเก่งเพียงอย่างเดียวแต่เคยเป็นถึงหน่วยซีลเก่ามาก่อน ทำให้ภารกิจทำอาหารต้องล้มเลิกมาเป็นภารกิจกู้เรือคืนกลับมา นี้จึงไม่ต่างกับ Die Hard ฉบับกู้เรือโดยมีความคล้ายคลึงที่ไปอยู่ในสถานการณ์มิควรแต่ไม่ถึงกับเหมือนไปเสียทุกอย่างแค่เป็นเหตุบังเอิญต้องเจอเรื่องร้ายทั้งที่ควรเป็นเรื่องดีเสียมากกว่า อย่างพล็อตเรื่องวันเกิดกลายเป็นวันตาย งานปาร์ตี้แสนสนุกกลายเป็นงานรวมตัวประกันแสนตึงเครียด หลายอย่างดูเป็นตลกร้ายไปเสียหมดกับพล็อตเรื่องที่จงใจทำลายงานแสนสุขเป็นแสนทุกข์อย่างมิทันตั้งตัว ก็ไม่ต่างกับผู้ร้ายในเรื่องนี้ที่มีความสุขกับแผนยึดเรือที่สำเร็จลุล่วงแต่คงลืมไปว่ายังเหลือพระเอกเคซี่ย์ที่แม้มาคนเดียวก็ป่วนกลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ทั้งลำ

White God (2015) 4 ขาล่าปิดเมือง

White God (2015) | 4 ขาล่าปิดเมือง | A+
Director: Kornél Mundruczó
Genres: Adventure | Drama | Thriller
 
"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

หนังจากประเทศฮังการีที่มาไกลจนได้รับรางวัล Un Certain Regard จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2014 และรางวัล Palm Dog Award ไปอย่างไม่น่าแปลกใจเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวกับชีวิตหมาในแบบที่หดหู่จนคนรักหมาอาจต้องรู้สึกสะเทือนใจตามๆกัน แต่สำหรับใครที่ไม่ได้เลี้ยงหมาหรือไม่สบอารมณ์กับหมาอาจต้องคิดใหม่เพราะเรื่องแสดงให้เห็นว่าคนที่มีอคตินั้นเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์สี่ขาเสียอีก ซึ่งแรงบันดาลใจของเรื่องนี้มาจากที่ตัวผู้กำกับ Kornél Mundruczó รู้สึกว่ากฎหมายในฮังการีไม่ยุติธรรมกับหมาโดยเฉพาะกับหมาพันธุ์ทางที่โดนมองเป็นเพียงหมาข้างถนนไม่ใช่พันธุ์แท้ที่หลายคนอยากได้หรือดูดีมีราคาสมแก่การเลี้ยงดู จึงกลายเป็นเรื่องราวของเด็กสาววัย 13 ชื่อลิลี่ (Zsófia Psotta) กับสุนัขฮาร์เก้นพันธุ์ทางของเธอที่ต้องเจอชะตากรรมถูกบีบบังคับโดยไม่ยินยอม เมื่อต้องทิ้งฮาร์เก้นไว้ข้างถนนเพียงเพราะความไม่พอใจของดาเนียล (Sándor Zsótér) พ่อของลิลี่ที่ต้องแบกรับภาระเลี้ยงดูชั่วคราวทั้งคนและหมาไม่ไหวเนื่องจากการเลี้ยงหมาพันธุ์ทางตามกฎหมายจะต้องเสียค่าธรรมเนียมและลงทะเบียนจึงจะถูกต้องตามกฎหมาย ทว่าเรื่องของเรื่องไม่ใช่แค่ต้องเสียเงินเท่านั้นเพราะยังมีหลายปัจจัยเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างสัตว์สี่ขาผู้ใสซื่อกับสัตว์สองขาผู้มีอคติจนท้ายที่สุดท้ายความสัมพันธ์ต้องแยกจากกัน เนื้อเรื่องอาจไม่ถึงกับแปลกอะไรแต่การเล่าเรื่องจัดว่าแปลกที่กล้าเอามุมมองที่มืดหม่นมาตีแผ่ได้อย่างหดหู่ใจทั้งคนและสัตว์ ที่สำคัญเรื่องนี้ไม่ได้ใช้กราฟฟิค CGI มาตกแต่งแต่อย่างใดในตอนท้ายเรื่องซึ่งทั้งหมดจำนวนที่รวมเข้าฉากมีทั้งหมด 274 ตัว อีกทั้งยังเป็นหมาเป็นพันธุ์ทางตามที่ผู้กำกับต้องการเอาไว้โดยต้องได้รับการฝึกไม่ต่ำกว่า 6 เดือนกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะรักหมาหรือไม่การรับชมเรื่องนี้จะบอกได้ทันทีว่าสัตว์สี่ขาไม่ได้มีค่าแค่ข้างถนนแต่เป็นเพื่อนในยามเหงา ซื่อสัตย์ อ่อนโยน และพร้อมจะทำตามเจ้านายที่แท้จริงโดยไม่มีวันลืม

The Shining (1980) เดอะไชนิง โรงแรมผีนรก

The Shining (1980)
เดอะไชนิง โรงแรมผีนรก
Director: Stanley Kubrick
Genres: Drama | Horror
Grade: S
 
 "เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

แม้จะยังไม่เคยอ่านฉบับนิยายของ Stephen King แต่การันตีได้อย่างหนึ่งคือความยอดเยี่ยมที่หาไม่ได้อีกแล้วกับแนวสยองขวัญที่มากกว่าสยองขวัญธรรมดาทั่วๆไปเพราะส่วนใหญ่แรงบันดาลใจการเขียนแต่ละเรื่องมาจากชีวิตจริงของเจ้าตัวและเนื้อหาก็พยายามมุ่งไปที่ตัวเองมากกว่าสิ่งเหนือธรรมชาติที่เป็นเพียงตัวเลือกให้ตัดสินกระทำว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลงก็ล้วนมาจากตัวเองเสมอ ซึ่งบางครั้งก็บวกด้วยปัจจัยมากมายเช่นสังคมตามหนังสือชื่อ Carrie จนกลายเป็นหนังเรื่องแรกที่สร้างชื่อให้กับ Stephen King เพราะความละเอียดทางด้านเนื้อหาที่เข้าถึงตัวละครที่เปราะบางทั้งที่ตัวละครหลักคือผู้หญิงแต่เข้าใจความหนาลึกจิตใจของผู้หญิงได้อย่างดี ที่สำคัญยังเสียดสีอีกหลายอย่างทั้งศาสนา ความสัมพันธ์แม่ลูก เพื่อนดีและเพื่อนที่คอยกลั่นแกล้ง สุดท้ายกลายเป็นเรื่องเก็บกดของวัยรุ่นผู้หญิงที่พึ่งก้าวพ้นวัยแต่ไร้คนรับฟังและให้ความหวังจนเกิดเป็นโศกนาฏกรรมในท้ายเรื่องเพียงเพราะรับไม่ไหวต่อสังคมที่รุมทำร้ายข้างเดียว แน่นอนว่าสิ่งที่แตกต่างไม่ใช่แค่สังคมในหมู่เพื่อนเท่านั้นแต่ยังรวมถึงครอบครัวที่มีแม่เสียสติคลั่งศาสนาเป็นบ้าเป็นหลังกลายเป็นความเก็บกดที่หนักแน่นลงกว่าเดิม ที่แตกต่างคือแครี่ที่ถูกรังแกมีพลังจิตที่สั่งการได้ตามที่เธอต้องการซึ่งพลังเหล่านี้มักถูกขับมาในทางลบซะทุกครั้งโดยเฉพาะเมื่อโกรธ แม้ช่วงแรกจะพยายามเก็บพลังและไม่มีใครสังเกตแต่ยิ่งถูกกลั่นแกล้งมากขึ้นเท่าไรยิ่งต้องการปลดปล่อยมากขึ้น จนที่สุดก็จบลงที่ต้นเหตุทั้งหมดไม่มีอะไรเหลือ  ฉบับนิยายถือว่าโด่งดังพอตัวแต่จะได้ชื่อเสียงมากขึ้นเมื่อถูกสร้างมาเป็นหนังชื่อ Carrie (1976) ที่กลายเป็นหนังดีมีคุณภาพสะท้อนสังคมวัยรุ่นได้อย่างดี

Non-Stop (2014) เที่ยวบินระทึก ยึดเหนือฟ้า

Non-Stop (2014)
เที่ยวบินระทึก ยึดเหนือฟ้า
Director: Jaume Collet-Serra 
Genres: Action Mystery Thriller
Grade: B-
 
 คงไม่ผิดอะไรถ้าจะขอเริ่มบอกว่าเรื่องนี้มีดีมาตลอดจนกระทั่งไคล์แม็กซ์ทำให้ตกอยู่สภาพตกม้าตายเป็นท่าดีทีเหลวกลายเป็นอีกอารมณ์ไปเลย นั้นเพราะการเฉลยค่อนข้างคลุมเครือไม่สามารถเอาความดีในส่วนแรกของหนังมาประคับประคองไปตลอดรอดฝั่งได้ทั้งที่เนื้อเรื่องก็น่าสนใจประกอบการเล่าเรื่องก็ช่วยให้น่าลุ้นระทึกตลอดเวลา นั้นทำให้นึกถึงหนังที่มีสถานการณ์บนเครื่องบินอย่าง Red Eye (2005) ที่เล่นสถานการณ์ปิดตายโดยมีนางเอกกับตัวร้ายแค่สองคนบนเครื่องแถมตัวร้ายก็เลือกจะไม่ปกปิดฐานะตัวเองแต่เลือกจะเปิดเผยอย่างใจเย็นพร้อมคุมสถานการณ์อย่างอยู่หมัด ผิดกับเรื่องนี้ที่มีสภาพเป็นแมวไล่จับหนูที่ซ่อนอยู่ที่ไหนสักที่บนเครื่องบิน โดยมีบิลล์ มาร์สค์ (Liam Neeson) ตำรวจอากาศมีหน้าที่แฝงตัวเข้ามาเป็นผู้โดยสารเครื่องบินเพื่อสำรวจตรวจการต่างๆระหว่างเดินทาง จนกระทั่งพบกับข้อความที่จู่ๆก็ส่งมายังมือถือพร้อมกับข้อเสนอให้ส่งเงิน 150 ล้านเหรียญมาตามบัญชีที่บอกไม่งั้นจะมีคนบนเครื่องบินตายทุก 20 นาที จากข้อความเปล่าที่ส่งมาเป็นคำขู่อาจเป็นเรื่องปกติสำหรับบิลล์ที่ตั้งใจส่งมาแกล้ง ทว่าบางอย่างทำให้บิลล์เริ่มไม่ไว้ใจกับข้อความที่ส่งมาแค่ขู่เพราะบิลล์เริ่มรู้สึกแปลกใจที่ข้อความที่ส่งมาล่วงรู้ว่าเขาคือใคร ทำงานอะไร กำลังทำอะไรอยู่ และที่ทำให้บิลล์หัวเสียขึ้นมาทันทีคือการรู้อดีตว่าเคยมีลูกสาวตัวน้อยซึ่งนั้นได้ส่งกระทบต่อชีวิตบิลล์มามากมาย ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาเริ่มตระหนักถึงการส่งความที่ไม่ใช่เรื่องตลกอีกต่อไปและสถานการณ์ก็เริ่มตึงเครียดมากขึ้นเพราะไม่อาจหาเบาะแสใดๆจน 20 นาทีผ่านไปมีคนตายจริงๆ

The Monster Squad (1987) แก๊งสู้ผี

The Monster Squad (1987)
แก๊งสู้ผี
Director: Fred Dekker
Genres: Action | Comedy | Fantasy | Horror
Grade: B-

แดร็กคูล่าผีดูดเลือดจาก  Dracula (1931) , แฟรงเกนสไตน์ศพเดินได้จาก  Frankenstein (1931) , มัมมี่ผู้เป็นอมตะจาก  The Mummy (1932) , มนุษย์หมาป่าจ้าวราตรีจาก  The Wolf Man (1941) และกิลล์แมนสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจาก Creature from the Black Lagoon (1954) ที่กล่าวมาล้วนเป็นสุดยอดมอนสเตอร์ระดับแรกรุ่นในฐานะหนังขาวดำเรื่องยาวที่ต่างเป็นที่น่าจดจำในทุกยุคทุกสมัย ด้วยความคลาสสิคอันเป็นเอกลักษณ์จนถูกหยิบยืมไปใช้ประกอบหลายต่อหลายเรื่องทำให้ตัวละครเหล่านี้ผ่านสายตามานักต่อนักและเป็นที่รู้จักกันอย่างดี และด้วยความคลาสสิคที่เกิดมาในยุคเดียวกันนี่เองทำให้เกิดเรื่องน่าสนใจอย่างหนึ่งถ้าจับมอนสเตอร์ระดับขึ้นหิ้งเหล่านี้มารวมกันในเรื่องเดียวจะเป็นยังไง แน่นอนว่าอาจจะพอมีบ้างแต่ก็ไม่ได้มีมากมายอะไรนอกจากแดร็กคูล่าที่เป็นหัวนำขบวนหลักกับมนุษย์หมาป่าที่เป็นทาสรับใช้ตอนกลายร่างและแฟรงเกนสไตน์ที่โดนบีบบังคับให้ทำแต่เรื่องผิดใจ ถึงอย่างงั้นฝ่ายปีศาจจะร้ายกาจแค่ไหนก็ยังต้องยอมให้กับมือปราบเวนเฮลซิ่งที่ตามล้างผลาญบรรดาปีศาจทั่วสารทิศ พล็อตระดับตำนานหนังสยองขวัญยุคแรกๆจะเป็นยังไงถ้าถูกมารวมตัวกันในเรื่องเดียวทั้งหมดพร้อมปรับเปลี่ยนยุคสมัยที่เชื่อหลักการของวิทยาศาสตร์มากกว่าไสยศาสตร์ ที่สำคัญยังให้ตัวละครหลักเป็นเด็กสื่อๆที่เชื่อเรื่องภูติผีปีศาจมากกว่าวิทยาศาสตร์ในห้องเรียน เรื่องราวของเด็กที่ได้แค่จินตนาการที่ตอนนี้ต้องเจอของจริงก็อุบัติขึ้นเป็นมือปราบผี
รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)