Sleepwalkers (1992) ดูดชีพสายพันธุ์สุดท้าย

Sleepwalkers (1992) | ดูดชีพสายพันธุ์สุดท้าย
Director: Mick Garris
Genres: Fantasy | Horror
Grade: C

"Sleepwalking หมายถึง ละเมอลุกขึ้นจากเตียงขณะหลับโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ความหมายนี้มันคนละเรื่องคนละราวกับหนังเรื่องนี้เลยนะ เมี๊ยววว"

งานนี้ Stephen King เขียนบทให้เองเสร็จเรียบร้อย ไม่ได้ดัดแปลงจากนิยายของเขาแต่อย่างใด เป็นบทที่เขียนมาเพื่อสร้างหนังโดยเฉพาะ แล้วผลออกมาก็สนุกไม่เลวเพราะยังคงความสยองขวัญแฝงแง่คิดเอาไว้เช่นเดิม แต่สิ่งที่ต่างออกไปอาจเป็นความเข้มข้นในเนื้อหาที่ไม่ค่อยเข้มข้นอะไรนัก ซ้ำยังรู้สึกกำกวมจนน่าจะมีคำอธิบายที่กระจ่างกว่านี้เพราะมีหลายอย่างที่ดูตลกและฉงนใจมากทีเดียว เรื่องจะกล่าวถึงปิศาจเผ่าพันธุ์หนึ่งนามว่าสลีพวอล์คเกอร์ เป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งสัตว์หรืออีกนัยหนึ่งเป็นครึ่งแมว มีชีวิตอยู่ด้วยการดูดพลังชีวิตของหญิงสาวบริสุทธิ์จนเหือดแห้ง ซึ่งสลีพวอล์คเกอร์ที่ยังคงมีชีวิตเหลืออยู่คือแมรี่ เบรดี้ (Alice Krige) และชาร์ล เบรดี้ (Brian Krause) ลูกชายของเธอ และเป้าหมายเหยื่อรายต่อไปคือแทนย่า โรเบิร์ตสัน (Mädchen Amick) หญิงสาวที่กำลังถูกหลอกไปดูดความบริสุทธิ์อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

Dhoom 2 (2006) ดูม 2 เหิรฟ้าท้านรก

Dhoom 2 (2006)
ดูม 2 เหิรฟ้าท้านรก
Director: Sanjay Gadhvi
Genres: Action | Crime | Thriller
Grade: C+

"Dhoom Again"

ภาคแรกกล่มกล่อมเกือบได้รสชาติที่ลงตัว ภาคนี้ไม่ต่างกันที่ทุ่มทุนมากขึ้น โดยเฉพาะฉากเต้นที่เป็นเอกลักษณ์ของหนังอินเดียที่อลังการงานสร้างจนหลงๆไปเทียบกับหนัง Step Up เลยทีเดียว แต่เรื่องท่าเต้นอาจไม่เทียบเท่าขนาดนั้นที่ต้องมี B-Boy อะไรพวกนั้น สำหรับภาคนี้ต้องขอพูดถึงงานเต้นก่อนเพราะมาผิดกับภาคแรกที่นอกจากจะยิ่งใหญ่แล้วยังรวมถึงองค์ประกอบฉากต่างๆที่บ่งบอกถึงทุนที่มากขึ้น ทั้งการแต่งกาย จำนวนนักเต้น แสงสีเสียง สิ่งเหล่านี้แทบจะแตกต่างกับภาคแรกโดยสิ้นเชิง แต่ถามว่าโดยส่วนตัวชอบแบบไหนระหว่างทุนน้อยที่มีแค่ตัวพระและตัวนางมีองค์ประกอบนิดๆหน่อยๆกับงานใหญ่ที่มีนักเต้นมากขึ้นพร้อมฉากที่ดูอลังการเป็นงานใหญ่ อันนี้ต้องบอกว่าภาคแรกซะมากกว่า เพราะดูเป็นกันเองและใกล้ชิดตัวละคร เนื่องจากเนียนกับการเล่าเรื่องที่ไม่ได้โดดมาเป็นฉากเต้นร้องเพลงที่เล่าไปอีกอย่าง

Dhoom (2004) ดูม บิดท้านรก

Dhoom (2004
ดูม บิดท้านรก
Director: Sanjay Gadhvi
Genres: Action | Crime | Drama | Thriller
Grade: B

"ดูม มาจาเล่ ดูม มาจาเล่ ดูม.."

ใครจำเรื่องนี้ไม่ได้ก็ต้องจำเนื้อเพลงนี้ได้กับจังหวะมันส์ๆที่ฮิตติดหูขนาดให้นักร้องชื่อดังเมืองไทยอย่างทาทายังมาร่วมร้องในเวอร์ชั่นอินเตอร์ แต่ไม่ว่าจะเวอร์ชั่นภาษาอินเดียหรือภาษาอังกฤษก็จำได้แค่"ดูมๆ"กันซะมากกว่า(ฮา) ส่วนตัวหนังนั้นเป็นเรื่องของตำรวจกับผู้ร้ายที่แข่งกันจับกับแข่งกันปล้น เป็นเรื่องของเจ ดิซิต (Abhishek Bachchan) ตำรวจมาดธรรมดาที่เวลาถอดแว่นจะกลายเป็นคนจริงจังเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าได้รับมอบหมายให้ทำคดีการปล้นที่ตำรวจทั่วไปทำไม่ได้ โดยกลุ่มโจรนี้มีจุดเด่นเรื่องมอเตอร์ไซค์ที่มีความเร็วสูงในการหลบหนีทุกครั้งทำให้ยากต่อการตามจับตัว งานนี้จึงไม่ง่ายอย่างที่คิดต้องขอแรงอาลี อักบัร ฟาเตห์ ข่าน (Uday Chopra) นักซิ่งล่าเงินรางวัลที่ใฝ่ฝันอยากได้เมียดีๆสักคนไว้สร้างครอบครัวมาช่วยอีกแรง

From Beyond (1986) คนเปลี่ยนหัวคน ภาค 2 / มิติสยองเปลี่ยนคนไม่ให้เป็นคน

From Beyond (1986)
คนเปลี่ยนหัวคน ภาค 2 / มิติสยองเปลี่ยนคนไม่ให้เป็นคน
Director: Stuart Gordon
Genres: Horror | Sci-Fi
Grade: B+

อย่างแรกต้องมาทำความเข้าใจกับชื่อไทยที่หลายคนอาจร้อง"ห๊ะ"เพราะเป็นภาคต่อ ถ้างั้นภาคแรกหายไปไหนทำไมถึงเป็นภาคสองเลย อีกด้านหนึ่งกับคนที่ตามชื่อไทยก็คงสับสนกับภาคแรกที่มีเนื้อหาไม่เกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงตรงไหนเลย นั้นเพราะชื่อไทยเรื่องนี้ไปตั้งต่อจากเรื่อง Re-Animator (1985) ที่มีชื่อ"คนเปลี่ยนหัวคน" แน่นอนว่าเนื้อเรื่องมันคนละม้วนกันอยู่แล้ว แต่ด้วยความเข้าใจผิดที่เห็นว่าอะไรหลายอย่างคล้ายกันจึงตั้งชื่อเป็นภาคต่อ ก็ไม่แปลกใจอีกแหละว่าทำไมถึงเข้าใจผิดกันทั้งที่คนละเรื่องคนละราว เนื่องจากใช้นักแสดงคนเดียวกัน ทั้ง Jeffrey Combs และ Barbara Crampton ที่เป็นตัวหลักทั้งคู่ ส่วนผู้กำกับเป็นคนเดิมอีก แถมยังสร้างจากนิยายผู้แต่ง H.P. Lovecraft ด้วยกันทั้งคู่ ที่สำคัญมีอะไรที่เกี่ยวกับหัวเหมือนกันอีกด้วย สรุปต้องเลยตามเลยให้สับสนกันไม่น้อยทีเดียว

Robot (2010) มนุษย์โรบอท จักรกลเหนือโลก

Robot (2010)
มนุษย์โรบอท จักรกลเหนือโลก
Director: S. Shankar
Genres: Action | Sci-Fi
Grade: B+

นี่ไงล่ะหนังอินเดียที่น่าจดจำในฐานะหนังไซไฟที่มีลูกบ้าเว่อร์วังอลังการจนไม่ต้องไปหาเรื่องไหนมาเปรียบเทียบ เพราะไม่มีเรื่องไหนที่เทียบเคียงหรือเลียนแบบได้นั้นเอง ซึ่งสรรพคุณความอลังการของเรื่องนี้อยู่ที่ไอเดียความแปลกล้วนๆ ที่ว่าแปลกไม่ถึงกับแปลกใหม่จนคาดไม่ถึงแต่น่าจะเรียกว่าหาคนทำแบบนี้ไม่ได้มากกว่า แปลกในทางทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ แน่นอนว่านอกจากจะดูเหลือเชื่อที่กล้าทำแล้วยังรู้สึกได้ถึงความสดใหม่ที่ไม่ใช่ความเพ้อเจ้อไม่อยากซ้ำใคร สำหรับเรื่องนี้คือความสดใหม่ที่ดูได้ทุกคนที่นำเสนอได้อย่างมีมิติและแพรวพราวด้วยเทคนิค CGI จนเอิ่ม..ถ้าไม่คัลท์หรือกล้าจริงคงทำไม่ได้แน่นอน

Blood and Ties (2013) สายสัมพันธ์แห่งนรก

Blood and Ties (2013) | สายสัมพันธ์แห่งนรก
Director: Dong-Suk Kuk
Genres: Drama | Thriller
Grade: B

ชอบช่วงแรกของหนังมากที่เล่าความสัมพันธ์พ่อลูกได้อย่างสุดซึ้งระหว่างซุนมัน  (Kap-su Kim) และดาอึน (Ye-jin Son) ที่ชีวิตอยู่กันแบบครอบครัวธรรมดาแต่เต็มไปด้วยความทุ่มเทในการให้ โดยเฉพาะพ่อที่ทำทุกอย่างเพื่อลูกอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ทำทุกอย่างชนิดที่ดาอึนเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันหยุดของพ่อตัวเองที่บอกจะไปตกปลาแต่จริงแล้วไปรับงานเสริม เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยความเป็นพ่อที่ปกป้องลูกอย่างเต็มที่อย่างไม่มีวันเหนื่อยหรือท้อแต่อย่างใด ขณะเดียวกันดาอึนก็รักพ่อมากที่สุดในโลกเกินจะหาใครเทียบได้ ความสัมพันธ์ทั้งสองเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและความรักที่มีต่อกันเสมอ ถ้านี้คือหนังรักระหว่างพ่อกับลูกจะต้องประทับใจกันมากแน่ๆ ทว่าในความสัมพันธ์ที่แแน่นแฟ้นด้วยความอบอุ่นต้องสั่นคลอนเพราะหนังเรื่องหนึ่งที่ดาอึนไปดูในโรงมีส่วนที่คล้ายคลึงกับพ่อของตัวเอง หนังที่ว่านั้นสร้างจากเหตุการณ์จริงของคดีลักพาตัวเด็กจนสะเทือนทั้งประเทศ

The Bare Wench Project (2000)

The Bare Wench Project (2000)
Director: Jim Wynorski
Genres: Comedy | Horror
Grade: F

*ไม่มีภาพประกอบ

ไม่ต้องสงสัยว่าหนังเรื่องนี้ตั้งใจจะแซวเรื่องอะไร เพราะไม่ว่าจะชื่อหรือพล็อตเรื่อง แม้กระทั่งปกของหนังเองยังบ่งบอกถึงหนังต้นฉบับ The Blair Witch Project (1999) อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องหันซ้ายหันขวาว่าใช่เรื่องนี้แน่เหรอ แน่นอนว่าคือใช่ ทั้งเป็นการล้อเลียนได้อย่างกระจุยกระจายชนิดที่ว่าเสื้อผ้าหายไปทีละชิ้นสองชิ้นทุกครั้งที่ยิ่งดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ ความฮาของการล้อเลียนเรื่องนี้คือความช่างกล้าที่เลือกหยิบหนังระดับขึ้นหิ้งมาใช้ได้อย่าง..เอิ่ม..แทบจะไม่มีเค้าความน่ากลัวของเดิมอยู่เลย แต่ไม่แปลกใจหรอกถ้าจะทำเพื่อล้อเลียนเพราะความคาดหวังแรกคือความฮา ซึ่งถามว่าฮาแค่ไหนอาจบอกว่าแทบหาไม่เจอ ขณะเดียวกันสิ่งที่ทนแทนมาคือเหล่านักแสดงที่รู้สึกจะเน้นเฉพาะจุดกันตั้งแต่ต้นเรื่องจนแทบทั้งเรื่องไปกับลูกกลมๆสองลูกที่มักจะเรียกลงท้ายนามว่า"เต้า"

Blue Streak (1999) หยั่งงี้ต้องปล้น

Blue Streak (1999)
หยั่งงี้ต้องปล้น
Director: Les Mayfield
Genres: Action | Comedy | Crime | Thriller
Grade: B-

อย่าได้ดูถูกความสนุกเรื่องนี้เชียวต่อให้เป็นเพียงหนังตลกที่มีเนื้อเรื่องสุดแสนง่ายดายก็เถอะ นั้นเพราะว่าการเล่าเรื่องทำได้กระชับจับจังหวะความฮาได้ลื่นไหลน่ะสิ เอาจริงๆแค่พล็อตเรื่องก็ฮาเหลือร้ายแล้วกับไมลส์ โลแกน (Martin Lawrence) ที่มีแผนโจรกรรมเพชรเม็ดโตที่มีมูลค่ามหาศาล แต่แผนที่วางไว้เกือบสำเร็จต้องพังลงเพราะถูกดีคอน (Peter Greene) เพื่อนที่ร่วมขโมยเพชรครั้งนี้หักหลัง ไมลส์จึงต้องซ่อนเพชรไว้ในช่องระบายอากาศที่อยู่ในตึกระหว่างก่อสร้าง แน่นอนว่าเมื่อแผนที่วางไว้อย่างดีต้องพังทำให้ไมลส์ถูกจับเข้าเรือนจำเป็นเวลา 2 ปี เมื่อออกจากคุกพ้นโทษก็เป็นช่วงเวลาที่แสนแฮปปี้เพราะเขาจะเอาเพชรที่ซ่อนเอาไว้ แต่เจ้ากรรมตึกก่อสร้างดังกล่าวได้เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาไปพร้อมกับติดป้ายชัดเจนว่าเป็นสถานีตำรวจ เพชรที่ขโมยมาอยู่ในตึกที่เต็มไปด้วยตำรวจทุกรูปแบบ แล้วไมลส์จะเข้าไปเอาเพชรที่ตัวเองซ่อนไว้ได้อย่างไร

Panic Room (2002) ห้องเช่านิรภัยท้านรก

Panic Room (2002)
ห้องเช่านิรภัยท้านรก
Director: David Fincher
Genres: Crime | Drama | Thriller
Grade: B+

การเล่าเรื่องเป็นไปอย่างรวดเร็วพอสมควรกับเรื่องนี้ที่เกริ่นตัวละครเพียงไม่กี่นาทีกับอพาร์ตเมนต์ที่พึ่งมาอยู่ใหม่ก็ต้องมีกลุ่มโจรเข้ามาในคืนวันแรกที่อาศัย จะบอกว่าเป็นความซวยของเม็ก อัลต์แมน (Jodie Foster) กับซาร่าห์ อัลต์แมน (Kristen Stewart) สองแม่ลูกคงไม่ผิด เนื่องจากพวกเธออยู่ผิดที่ผิดเวลาผิดแผนของโจรที่ตั้งใจมาแบบเงียบๆไร้คนอาศัยที่อุตส่าห์คิดล่วงหน้าตามแผนของจูเนียร์ (Jared Leto) ที่ต้องการมาขโมยเงินที่ซ่อนอยู่ในบ้านหลังนี้พร้อมกับผู้ช่วยอีกสองโจรคือราอูล (Dwight Yoakam) และเบิร์นแฮม (Forest Whitaker) แต่ที่พิเศษกว่าบ้านทุกหลังคือมีห้องนิรภัยที่ออกแบบมาอย่างดีเยี่ยมพร้อมการป้องกันเสริมด้วยเหล็กหนาที่ไม่สามารถทะลวงเข้าไปได้ง่ายๆ ทว่าเรื่องของเรื่องคือเม็กไม่ชอบห้องนิรภัยที่สำหรับเธอคือความน่ากลัวและเหมือนว่าห้องที่คิดว่าไม่จำเป็นห้องนี้ต้องถึงคราวจำเป็นซะแล้ว

Animals Are Beautiful People (1974) สัตว์โลกผู้น่ารัก

Animals Are Beautiful People (1974) | สัตว์โลกผู้น่ารัก
Director: Jamie Uys
Genres: Comedy | Documentary
Grade: A

ถ้าจะหาหนังสารคดีเกี่ยวกับสัตว์สักเรื่องที่ดูแล้วโล่งหัวสบายใจอารมณ์ดีต้องแนะนำเรื่องนี้ก่อนเลยทันที แล้วจริงหรือที่บอกเช่นนั้น ให้เริ่มจากได้รางวัลลูกโลกทองคำ สาขาสารคดียอดเยี่ยม ในงานภาพยนตร์ชื่อดัง Golden Globe Award แน่นอนว่าอย่างน้อยต้องดีในสายตานักวิจารณ์ ส่วนจะดีสำหรับผู้ชมทางบ้านมากน้อยแค่ไหนโดยส่วนบอกเลยว่าดีมาก แต่คำว่าดีไม่เพียงพอกับเรื่องนี้ที่ทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ต้องบอกว่าสารคดีเรื่องนี้มันสุดยอดเลยเสียโดยซ้ำ เพราะหลายอย่างดูเกินความคาดหมายอย่างมาก หลายอย่างได้ถ่ายทอดมุมมองที่ไม่เคยเห็นหรือไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าในหลายๆอย่างนี้เกิดขึ้นในแอฟริกาใต้ ดินแดนที่แห้งแล้งจนไม่น่ามีสัตว์หรือพืชชนิดใดอยู่ได้ ซึ่งความไม่ธรรมดาที่ความแล้งแห้งนี้อุดมไปด้วยสิ่งมีชีวิตมากมายจนน่าแปลกใจ

The Book Thief (2013) จอมโจรขโมยหนังสือ

The Book Thief (2013)
จอมโจรขโมยหนังสือ
Director: Brian Percival
Genres: Drama | War
Grade: C+

น่าเสียดายแหะที่การเล่าเรื่องดูไม่เป็นไปตามชื่อหนังเท่าไรเลย แต่ต้องออกตัวก่อนว่าไม่เคยอ่านฉบับหนังสือเรื่องนี้มาก่อน ดังนั้นเป็นความคิดเห็นแค่ตัวหนังอย่างเดียว ถ้าจะให้เปรียบเทียบหรือหาความเหมือนคงบอกอะไรไม่ได้เกินกว่าแค่ตัวหนังที่สนุกมากน้อยเพียงใด ส่วนที่บอกว่าน่าเสียดายมาจากเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับลีเซล เมมมิงเกอร์ (Sophie Nélisse) สาวน้อยชาวเยอรมันที่ถูกส่งมาอยู่กับฮานส์ ฮิวเบอร์แมน (Geoffrey Rush) พ่อบุญธรรมและโรซ่า ฮิวเบอร์แมน (Emily Watson) แม่บุญธรรมในเมืองแห่งหนึ่งในเยอรมัน เริ่มจากลีเซลอ่านหนังสือไม่ออกแต่มีหนังสือพกติดตัวมาเล่มหนึ่ง ฮานส์จึงได้สอนการอ่านหนังสือให้จนลีเซลอ่านได้เอง พออ่านเป็นและอยากอ่านเพิ่มแต่หาหนังสือไม่ได้จึงได้แอบขโมยหนังสือมาอ่าน และนี่คือคร่าวๆเกี่ยวกับหนังสือและการขโมยหนังสือที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไร

Executive Decision (1996) ยุทธการดับฟ้า

Executive Decision (1996)
ยุทธการดับฟ้า
Director: Stuart Baird
Genres: Action | Adventure | Thriller
Grade: B+

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

จั่วหัวไว้ก่อนเลยว่าสปอยด์แน่ๆ โดยเฉพาะพระเอก Steven Seagal ที่ยุคนั้นเป็นดาราสายแอ็คชั่นที่มีชื่อเสียงพอตัว มีผลงานแจ้งเกิดอย่าง Above the Law (1988) ที่เริ่มต้นก็ไปได้สวย หลังจากนั้นมาดังไม่แพ้กันในเรื่อง Under Siege (1992) ที่เสมือนแจ้งเกิดอีกรอบ แน่นอนว่าสิ่งที่คงเป็นเอกลักษณ์ของชายคนนี้คือไม่หล่อเหลาแต่มีเสน่ห์ กระนั้นสิ่งที่ทุกคนรู้แท้แน่นอนมากกว่าการจับปืนถือมีดคือทักษะต่อสู้ด้วยมือทั้งสองข้าง แทบจะทุกเรื่องจะโชว์ลีลาฝีมือการต่อสู้มือเปล่าที่เน้นการหักกระดูกจนไม่มีหน้าไหนสู้ได้และเป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนนึกไม่ออกว่าเคยแพ้ จนกระทั่งเรื่องนี้

Sympathy for Lady Vengeance (2005) เธอฆ่าแบบชาติหน้าไม่ต้องเกิด

Sympathy for Lady Vengeance (2005) | เธอฆ่าแบบชาติหน้าไม่ต้องเกิด
Director: Chan-wook Park
Genres: Crime Drama Thriller
Grade: A-

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

นี่คือไตรภาคชุดแก้แค้นของผู้กำกับ Chan-wook Park ที่เริ่มต้นกันที่ Sympathy for Mr. Vengeance (2002) และสานต่อใน Oldboy (2003) โดยยึดแกนหลักสำคัญของเนื้อหาคือการแก้แค้น ในส่วนของเรื่องราวจะไม่ต่อเนื่องหรือประติดประต่อกลายเป็นหนังคนละเรื่องที่มีเนื้อหาทับซ้อนแค่การล้างแค้นเท่านั้น ฉะนั้นการจะหยิบภาคใดภาคหนึ่งมาดูก่อนหรือหลังย่อมไม่ส่งผลกระทบใดๆทั้งสิ้น ยกเว้นในเรื่องของการแฝงนัยยะตัวละครที่พบว่ามีการใช้นักแสดงคนเดิม และเมื่อใช้นักแสดงคนเดิมจะทำให้เห็นนัยยะแฝงที่พยายามอิงความสัมพันธ์บางอย่างจากเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เคยเป็นตัวละครในหนังเรื่องนั้น บางคนเคยเป็นคู่แค้นได้กลายเป็นเพื่อน บางคนคือผู้ล้างแค้นกลายเป็นผู้ถูกกระทำ บางคนคือผู้พรากชีวิตของใครสักคนได้ถูกพรากคนสำคัญไป บางคนคือเหยื่อของความแค้นที่กลายเป็นต้นเหตุ สิ่งเหล่านี้เสมือนวัฏจักรที่วนเวียนราวกับกรรมที่สนองในสิ่งที่กระทำ จะเกิดก่อนหรือเกิดหลังก็ได้ แต่สุดท้ายยังเป็นเรื่องที่วนเวียนไม่จบสิ้น

Sympathy for Mr. Vengeance (2002) เขาฆ่าแบบชาติหน้าไม่ต้องเกิด

Sympathy for Mr. Vengeance (2002) | เขาฆ่าแบบชาติหน้าไม่ต้องเกิด
Director: Chan-wook Park
Genres: Crime | Drama | Thriller
Grade: A

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

"จบแบบนี้มันทำร้ายจิตใจกันเกินไปหรือเปล่า"

เอาจริงๆเลยนะสำหรับเรื่องนี้ไม่คิดเลยว่าตอนจบจะลงเอยอะไรเช่นนั้นได้ จะว่าหักมุมก็คงใช่ จะไม่ว่าก็ถือว่าถูก เหมือนจู่ๆมีบุคคลที่สามโผล่มาอย่างทันระวังตัวแล้วฉึก! โดนเสียบหลังเข้าอย่างจังเหมือนเป็นความเจ็บปวดที่ทำอะไรไม่ถูกเพราะโดนแทงกระดูกสันหลังจนต้องร่วงโรยตามแรงโน้มถ่วงอย่างมิอาจฝืนหรือหยุดอะไรได้ เป็นความเจ็บปวดที่ไม่รู้สึกเจ็บแต่ปวดที่สุด แต่กว่าหนังจะจบลงด้วยการทำร้ายจิตใจจนพังยับเยินแค่ต้นเรื่องนำไปสู่การสูญเสีย เกลียดชัง โลภ เห็นแก่ตัว อย่างไม่แคร์ความรู้สึกผู้ชมว่าจะรับได้มากน้อยแค่ไหน ถึงจะรับได้หรือไม่นั้นสุดท้ายสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นกับทุกคนทุกสังคม โดยเฉพาะสภาพสังคมที่มีความหลากหลายเกินจะแบ่งประเภทอยู่กันได้ ท้ายที่สุดต้องอยู่รวมกันแบบบ้านหลังหนึ่งมีหลายห้องให้อาศัยหรือคอนโดที่ต่างคนต่างมาอยู่จนไม่รู้ใครเป็นใครเพราะมากมายหลายประเภท หนึ่งในความแตกต่างนั้นคือริว (Ha-kyun Shin) ที่มีความผิดปกติเรื่องการสื่อสารเพราะเป็นใบ้ ไม่ว่างานจะเสียงดังแค่ไหนก็ไม่ได้ยิน ใครจะว่ายังไงก็แทบไม่สนใจหรือทำเป็นได้ยินทั้งสิ้น

A Hard Day (2014) แผนล่าคนลวง

A Hard Day (2014)
แผนล่าคนลวง
Director: Seong-hoon Kim
Genres: Action | Crime | Thriller
Grade: A-

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

เรื่องความซวยไม่เข้าใครออกใครอยู่แล้ว จะเป็นวันนี้หรือเวลาไหนก็ได้ อย่างเช่นช่วงแรกของเรื่องนี้ที่ให้ความซวยมาเต็มที่จนถูกจริตคนชอบดูความซวยของคนอื่นเป็นเรื่องตลกได้อย่างสนุกสนาน เรื่องของเรื่องเริ่มขึ้นในคืนของกอนซู (Sun-kyun Lee) ในพิธีจัดงานศพแม่ของตัวเอง แต่ระหว่างงานในพิธีเกิดเพื่อนที่เป็นตำรวจด้วยกันโทรหาอย่างเร่งด่วนเพราะถูกสอบสวนเรื่องติดสินบนที่ถูกพบเก็บไว้ที่โต๊ะของเขาที่สำนักงาน ดังนั้นกอนซูจึงต้องรีบขับรถออกไปเคลียร์ปัญหาของตัวเองก่อนจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าระหว่างขับรถอย่างเร่งด่วนก็ดันไปขับชนใครบางคนเข้าอย่างไม่ทันระวัง ด้วยความไม่รู้จะทำยังไงจึงซ่อนศพเอาไว้ที่หลังรถของตัวเองเสียก่อนจะจัดการศพนั้นอีกที แต่แล้วศพเจ้าปัญหานั้นได้ก่อปัญหาขึ้นเพราะกลายเป็นบุคคลในประกาศจับที่กำลังจะไปจับพอดี แค่นั้นยังไม่หมดเมื่อมีสายเข้าปริศนาถึงกองซูที่พูดถึงศพนั้นเหมือนรู้เห็นยังไงอย่างงั้นและเจาะจงแค่เขาอีกด้วย เรื่องจะยังไงนั้นบอกได้คำว่านี่คือเรื่องราวของตำรวจที่ซวยสมกับชื่อเรื่องที่กลายเป็นวันที่ลำบากยากเข็ญไม่ต้องพักไม่ต้องนอนกันแล้ว

Oldboy (2003) เคลียร์บัญชีแค้นจิตโหด

Oldboy (2003) | เคลียร์บัญชีแค้นจิตโหด
Director: Chan-wook Park
Genres: Action | Drama | Mystery | Thriller
Grade: A

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

ว่าด้วยการแก้แค้นของโอแดซู (Min-sik Choi) ชายที่ถูกจับขังในห้องปิดตาย แต่เรื่องราวก่อนที่ถูกจับขังอย่างไร้เหตุผลนั้นได้เริ่มในคืนที่เขาเมาเหล้าจนต้องเข้าโรงพักก่อนจะถูกประกันตัวเพื่อไปงานวันเกิดลูกสาวตัวเอง หลังจากนั้นถึงรู้ตัวอีกทีเมื่ออยู่ในห้องที่ไม่สามารถไปไหนได้นอกจากช่องเปิดปิดสำหรับส่งอาหารที่มีเพียงเกี๊ยวซ่าเท่านั้น ไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรถึงถูกขังในห้องปิดตายได้ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลัง ไม่มีรายละเอียดหรือเหตุผลใดที่ทำให้ต้องถูกทรมานในห้องแคบๆได้ ยิ่งโอแดซูคิดมากเท่าไรยิ่งไม่มีความหมาย เพราะอะไร ทำไมถึงเป็นแบบนี้ กระทั่งเวลาได้ล่วงเลยไปหลายปีจนสภาพไม่ต่างกับคนข้างถนนที่มีผมเผ้ารุงรังและใบหน้าที่ที่มีรอยย่นมากขึ้นเพราะไม่อาจใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ทว่าถึงผมจะยาวขึ้นจนดูแย่แค่ไหนยังคงได้รับบริการพิเศษตัดผมให้ด้วยการใช้แก๊สสลบเข้าไปในห้อง แน่นอนว่าถึงพยายามจะทำให้ตัวเองเกือบตายแค่ไหนยังได้รับการรักษาให้หายดีตลอดเวลา ราวกับว่าโอแดซูถูกเลี้ยงในกรงให้ใช้ชีวิตต่อไปโดยห้ามตายเด็ดขาด

Cujo (1983) คูโจ เขี้ยวสยองพันธุ์โหด

Cujo (1983) | คูโจ เขี้ยวสยองพันธุ์โหด
Director: Lewis Teague
Genres: Horror | Thriller
Grade: C+

"ไม่แนะนำสำหรับคนที่ไม่ชอบหมาเพราะอาจทำให้กลัวหมายิ่งกว่าเก่าก็เป็นได้"

เป็นอีกเรื่องที่หยิบนิยายของ  Stephen King มาดัดแปลง โดยตัวนิยายได้รับแรงบันดาลใจมาจากชีวิตจริงขณะกำลังซ่อมรถมอเตอร์ไซค์แล้วมีหมาร้องขู่ใส่เขา ฉะนั้นจะไม่มีฉากที่เกี่ยวกับซ่อมรถคงเป็นไปไม่ได้ มิหนำซ้ำยังกลายเป็นฉากที่ดีเยี่ยมที่สุดในเรื่องอีกด้วย แต่กว่าจะเล่าเรื่องไปถึงช่วงเวลานั้นต้องบอกก่อนว่านานพอสมควร นานจนถึงขั้นน่าเบื่อกันเลยทีเดียว เพราะช่วงแรกจะเป็นการเกริ่นครอบครัวเทรนตันที่มีสมาชิกด้วยกัน 3 คน ได้แก่ วิค (Daniel Hugh Kelly) หัวหน้าครอบครัว,ดอนนา (Dee Wallace) ภรรยาที่มีปัญหาเก็บซ่อนเอาไว้ และเท็ด (Danny Pintauro) ลูกชายที่กลัวการอยู่คนเดียวเพราะเห็นสัตว์ประหลาด นอกจากจะเกริ่นถึงครอบครัวที่เป็นตัวละครหลักแล้วยังบอกถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นั้นคือคูโจหรือหมาพันธุ์เซนต์เบอร์นาร์ดที่ตัวโตเต็มที่กำลังหากระต่ายที่หมายเป็นเนื้ออันแสนอร่อย จนการไล่ล่าจบลงที่กระต่ายมุดเข้าโพร่งได้สำเร็จ ขณะที่คูโจไม่ยอมลดละพยายามมุดโพร่งนั้นตามแต่เข้าได้แค่หัว ซึ่งภายในโพร่งนั้นเป็นที่พักอาศัยของค้างคาวและพวกมันตกใจจึงกัดจมูกคูโจ หลังจากนั้นคูโจได้เปลี่ยนไปกลายเป็นความคลุ้มคลั่งอย่างไม่มีวันห้วนกลับ

The Gods Must Be Crazy II (1989) เทวดาท่าจะบ๊องส์ 2

The Gods Must Be Crazy II (1989)
เทวดาท่าจะบ๊องส์ 2
Director: Jamie Uys
Genres: Comedy
Grade: B+

หลังจากภาคแรกได้เข้าฉายก็กลายเป็นความสำเร็จสร้างชื่อเสียงให้กลายเป็นที่น่าจดจำในทันทีกับซี (N!xau) ตัวละครคนป่าที่ตัวดำแต่มีความใสซื่อบริสุทธิ์ตามประสาคนป่าที่ไม่รู้จักคำว่าเจริญตามแบบสังคมเมืองที่มีการพัฒนา ตัวละครอย่างซีได้กลายเป็นความโด่งดังอย่างมากโดยเฉพาะในประเทศไทยบ้านเราจนขนาดที่ว่าใช้แสดงนำในโฆษณาเลยทีเดียว ซึ่งโฆษณาดังกล่าวคือกระเบื้องห้าห่วงที่ทำออกมา 2 แบบ โดยแบบแรกจะเป็นการหยิบพล็อตหนังภาคแรกที่เกี่ยวกับขวดโค้กตกลงมาจากเครื่องบินเปลี่ยนเป็นกระเบื้องตกลงมาแทน ด้วยความที่ไม่รู้ว่ากระเบื้องคืออะไรจึงลองใช้ก้านธนูยิงแต่ไม่เข้า เอามันขว้างใส่ก็ไม่เป็นอะไร พอรู้ว่าเจ้าสิ่งนี้ไม่ทำอันตรายใดๆจึงขึ้นไปเหยียบเล่นก่อนจะมีแรดวิ่งเข้ามา จังหวะนี้เองที่ซีหรือที่นิยมเรียกกันว่านิเชา(คนส่วนใหญ่จำชื่อจริงมากกว่าชื่อตัวละครในหนัง)ใช้กระเบื้องบังตัวเองไว้และรอดพ้นจากแรดที่วิ่งเข้ามา ส่วนแบบที่สองเป็นการบอกถึงวิถีชีวิตที่เพิ่มความเจริญเข้ามา ทั้งจานดาวเทียม โทรทัศน์ มือถือ เครื่องซักผ้า ที่ล้วนตกลงมาจากเครื่องบิน ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อนิเชาเพราะใช้ไม่เป็น แต่มีอย่างเดียวที่ใช้เป็นคือกระเบื้องตราห้าห่วงที่เอาไว้ใช้ยืนและให้คนอื่นแบกเพื่อจะได้เอานิ้วอุดรูที่หลังคารั่วได้(เป็นทั้งมุขขำขันและเสียดสีสติปัญญาในเชิงสร้างสรรค์) ที่สำคัญพูดภาษาไทยด้วยประโยคว่า"ห้าห่วง ทนหายห่วง"เป็นการปิดท้ายโฆษณา

The Gods Must Be Crazy (1980) เทวดาท่าจะบ๊องส์

The Gods Must Be Crazy (1980)
เทวดาท่าจะบ๊องส์
Director: Jamie Uys
Genres: Adventure Comedy

พล็อตเรื่องเหมือนหนังตลก แต่นี่คือความซีเรียสของหัวหน้าเผ่านามว่าซี (N!xau) คนป่าบุชเม็นแห่งทะเลทรายกาลาฮารีที่ใช้ชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ปลีกแยกออกจากโลกภายนอกที่มีแต่บ้านเมืองชุลมุนวุ่นวาย แต่แล้ววันหนึ่งได้มีขวดโค้กเปล่าตกมาจากฟากฟ้าอย่างไร้เหตุ อะไรคือขวดโค้กตกลงมาจากฟ้าในที่ไม่มีอะไรนอกจากพื้นที่ธรรมชาติอันแสนแห้งแหล้ง ในความคิดของคนป่า(ที่ป่าน้อยเหลือเกิน)คือวัตถุแปลกปลอมไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนทั้งชีวิต ไม่ว่าจะรูปทรง ขนาด ความทนทานที่แข็งแรง มันคือของชิ้นใหม่ที่ถูกนำมาใช้งานจนกลายเป็นของกลางที่อำนวยความสะดวกมากมายแก่คนในเผ่า ขวดโค้กนี้จึงเสมือนเป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้มา ทว่าเจ้าขวดดังกล่าวได้สร้างปัญหาวุ่นวายให้เกิดความอิจฉาริษยา อยากได้อยากใช้จนลืมวิถีดั้งเดิมที่มีแต่การแบ่งปัน มีทะเลาะเบาะแว้ง ต่างคนต่างโกรธที่ไม่ได้ใช้ขวด สุดท้ายซีคืนขวดใบนั้นแก่พระเจ้าบนฟากฟ้า แต่ไม่สำเร็จจึงตัดสินใจเดินทางไปสุดขอบโลกนำขวดอันเป็นของขวัญกลับคืนสู่พระเจ้า

Evil Ed (1995) มนุษย์ผีสิง

Evil Ed (1995) | มนุษย์ผีสิง
Director: Anders Jacobsson
Genres: Comedy | Horror
Grade: C+
 
เรื่องราวบ้าๆที่ไม่น่าบ้าได้ของเอ็ดเวิร์ด (Johan Rudebeck) ที่ต้องมาทำหน้าที่ตัดต่อหนังฟิล์มจากแซม แคมป์เบล (Olof Rhodin) เจ้านายจอมเข้มที่เลือกเขาเพราะมั่นใจในฝีมือ แต่เรื่องที่ให้ตัดต่อดันกลายเป็นหนังสยองขวัญที่เขาไม่ต้องการ แต่นั้นไม่อาจทำให้เขาปฏิเสธงานได้ และมีหน้าที่ต้องตัดต่อให้เสร็จโดยได้รับสิทธิพิเศษให้ทำงานที่บ้านนอกชานเมืองเพื่อให้อยู่อย่างสงบมีสมาธิในการตัดต่อฟิล์ม แน่นอนว่าการเลือกเอ็ดเวิร์ดไม่ใช่เพราะเขาเก่งหรืออย่างใด แต่มาแทนตำแหน่งที่กำลังขาดเนื่องจากคนก่อนหน้านี้คลุ้มคลั่งจนคาบระเบิดหัวกระจุยไปแล้วในตอนเปิดเรื่อง ประเด็นคนก่อนที่เสียสติจนบ้าคืออะไรก็ไม่รู้ แต่คงไม่พ้นเกี่ยวกับหนังสยองขวัญที่ยิ่งอยู่กับมันนานเท่าไรยิ่งเริ่มมองความสยองขวัญที่เกิดขึ้นในฟิล์มเป็นเรื่องจริงจนประสาทกิน ถ้าคนก่อนยังกลายเป็นคนบ้าได้ แล้วเอ็ดเวิร์ดที่ไม่ชอบความรุนแรงจะบ้าด้วยหรือเปล่า
รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)