The Way Home (2002) คุณยายผมดีที่สุดในโลก

The Way Home (2002) | คุณยายผมดีที่สุดในโลก | A+
Director: Jeong-hyang Lee
Genres: Drama

"ไม่อยากให้พลาดหนังเรื่องนี้จริงๆ"

ชีวิตวัยเด็กแต่ละคนจะมีบุคคลอันเป็นที่รัก ไม่ว่าจะพ่อแม่ญาติมิตรหรือเพื่อนก็ตาม แต่จะมีอยู่คนหนึ่งที่มักอยู่ในฐานะแม่ ทั้งที่ไม่ใช่แม่จริงๆเสียด้วยซ้ำ กระนั้นกลับดูแลเอาใจใส่เหมือนเป็นที่อยากได้อยากเลี้ยงดู ซึ่งบางครั้งดูแลดียิ่งกว่าแม่ที่ให้กำเนิดเราเสียด้วยซ้ำ เชื่อว่าทุกคนต้องมีบุคคลนั้นในความทรงจำวัยเด็กแน่นอน ส่วนจะมากจะน้อยหรือใครก็แล้วแต่ชีวิตของคนๆนั้นไป

American Guinea Pig: Bouquet of Guts and Gore (2014)

American Guinea Pig: Bouquet of Guts and Gore (2014) | D
Director: Stephen Biro
Genres: Horror

จับคนมาชำแหละร่างกายที่รู้จักกันดีคือ Guinea Pig 2: Flower of Flesh and Blood (1985) หรือสนัฟฟิล์มที่สมจริงที่สุดที่ดูมา กระทั่งมาเจอหนังเรื่องนี้ที่ทำลักษณะเดียวกันอย่างกับรีเมคให้ดูเป็นชาวอเมริกัน ความโหดความทารุณต้องบอกว่าเต็มที่มากไม่แพ้กัน ฉะนั้นใจไม่ถึงหรือแพ้เลือดเห็นไม่ได้ก็อย่าดูเสียดีกว่า

ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ (2019)

ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ (2019) | B+
Director: นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์
Genres: Drama | Romance

ทุกคนต้องมีของที่ตัวเองเก็บไว้ทั้งนั้นแหละ อย่างน้อยเป็นสัญลักษณ์เกี่ยวกับตัวเองเคยผ่านจุดนั้นมาก่อน หรือเป็นเครื่องบันทึกความทรงจำที่ลืมไปแล้ว แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องต้องเก็บหรือจำ เมื่อถึงเวลาที่ไม่ต้องการก็คือทิ้ง จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามคือการจัดระเบียบให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น แม้ต้องแลกหรือสละให้หายไปเลย

Thir13en Ghosts (2001) คืนชีพ 13 ผี สยองโลก

Thir13en Ghosts (2001) | คืนชีพ 13 ผี สยองโลก | C
Director: Steve Beck
Genres: Fantasy | Horror

ปกติเป็นเรื่องธรรมดาที่ผีกับบ้านเป็นของคู่กันจนเรียกว่าบ้านผีสิง อันที่จริงเดิมนั้นใช่ว่าผีอยากจะอยู่บ้านหรือมากับบ้านอยู่ก่อนแต่ถ้าคิดกลับกันว่าผีโดนจับมาเอาไว้ในบ้านล่ะจะว่ายังไง และเรื่องนี้ก็เป็นเช่นนั้นที่เกิดเริ่มเรื่องเมื่อไซรัส (F. Murray Abraham) มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งชอบสะสมของอยากจะลองสะสมผีทั้ง 13 ตนเพื่อพิธีกรรมบางอย่าง ทว่าเกิดพลาดพลั้งชิงตายก่อนจะสำเร็จผลตามที่ปรารถนากับการจับผีตนที่ 12 ดังนั้นเมื่อเจ้ามหาเศรษฐีได้เสียชีวิตลงพินัยกรรมจึงได้เปิดขึ้นเพื่อให้ผู้สืบทอดได้รับมรดกไป โดยคนนั้นไม่ใช่ใครแต่เป็นอาร์เธอร์ คริติดอส (Tony Shalhoub) พ่อม่ายที่เมียพึ่งเสียชีวิตไปจากอุบัติเหตุไฟไหม้ที่มีลูกติด 2 คนคือแคธี่ (Shannon Elizabeth) ลูกสาวคนโตและบ็อบบี้ (Alec Roberts) ลูกชายคนเล็ก ในเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้นเป็นเรื่องที่สร้างความสะเทือนใจแก่อาร์เธอร์เป็นอย่างมากที่ไม่ใช่แค่เสียคนรักไปแต่ยังรวมถึงทรัพย์สินต่างๆจากที่เดิมทีอยู่อย่างพอมีพอใช้อย่างสุขสบายกลับต้องกลายเป็นอยู่ห้องแคบๆที่เกินไปสำหรับคนมีครอบครัวไม่เล็กอย่างอาร์เธอร์ ด้วยความที่ไม่อาจอยู่สบายได้อย่างเมื่อก่อนจึงเป็นปัญหาที่ต้องอยู่กินอยู่ใช้อย่างจำกัดและเมื่อได้รู้ว่าไซรัสลุงของเขาได้เสียชีวิตลงแล้ว มรดกทั้งหลายจึงถ่ายโอนมาที่เขาโดยมอบทรัพย์สินคฤหาสน์หลังโตให้แก่ครอบครัวอาร์เธอร์ ซึ่งหลังจากที่อาร์เธอร์พาสมาชิกครอบครัวมาที่คฤหาสน์หลังโตดังกล่าวก็ต่างไม่คิดจะจากที่นี้ไปเลยแม้แต่น้อยเพราะที่นี่ทำให้จากคนที่แทบไม่เหลือบ้านกลายเป็นอยู่คฤหาสน์ก็ไม่ต่างอะไรกับมาอยู่สวรรค์งามๆนี่เอง

The Invisible Man (2020) มนุษย์ล่องหน

The Invisible Man (2020) | มนุษย์ล่องหน | B+
Director: Leigh Whannell
Genres: Horror | Mystery | Sci-Fi | Thriller

หนังมนุษย์ล่องหนที่ตัวเองรู้จักไม่ใช่ชื่อเดียวกันที่สร้างเมื่อปี 1933 แต่เป็น Hollow Man ในปี 2000 โดยเฉพาะฉากการปรับสภาพร่างกายให้โปร่งใสขึ้นทีละนิด มีการแสดงถึงสภาพผิวหนังที่ค่อยๆหายไป จากนั้นแสดงกล้ามเนื้อและเส้นเลือดตามร่างกาย อวัยวะภายใน ไล่ระดับไปเรื่อยๆจนถึงกระดูก จากสิ่งที่เห็นไม่ต่างกับการเรียนวิชา Anatomy นับเป็นฉากที่น่ากลัวและน่าอัศจรรย์ในเวลานั้นเลยก็ว่าได้

The Texas Chain Saw Massacre (1974) สิงหาสับ


The Texas Chain Saw Massacre (1974) | สิงหาสับ | A
Director: Tobe Hooper
Genres: Horror
http://www.imdb.com/title/tt0072271/

ประสาทไปข้างหนึ่งกับเรื่องวิปริตสุดจิตตกที่ไล่ล่ากันได้อย่างไม่ทิ้งห่างความน่ากลัวกับครอบครัวสุดระทึกขวัญกับเจ้าหน้ากากหนังคนกับเลื่อยตัดเฉพาะตัวพร้อมไล่กวดแบบไม่เหน็ดเหนื่อย เมื่อหนุ่มสาว 5 คนอันประกอบด้วยแซลลี่ (Marilyn Burns) กับแฟรงคลิน(Paul A. Partain) พี่ชายขาพิการของเธอ และเพื่อนอีกสามคน เดินทางหวังไปพักผ่อนกันอย่างมีความสุขสไตล์วัยหนุ่มสาวแต่ก็พลัดพลูหลงเข้ามาเจอบ้านหลังหนึ่งแบบไม่คิดฝันว่าจะเกินธรรมดาเมื่อทั้งบ้านเป็นความจริงของความวิปริต

‎Midori: The Camellia Girl (2016)

‎Midori: The Camellia Girl (2016) | C
Director: Torico
Genres: Drama | Fantasy

สิ่งที่ไม่คิดจะเกิดขึ้นคือการดัดแปลงเป็นฉบับคนแสดง ซึ่งใครเคยดู Midori (1992) ฉบับอนิเมะมาก่อนจะเข้าใจถึงความวิปลาสเป็นอย่างดี ดังนั้นการดึงอารมณ์หรือความแปลกประหลาดนั้นเป็นเรื่องยากพอสมควร ซึ่งบอกก่อนเลยล่ะกันว่ามีความผิดหวังไม่น้อย แทบจะเทียบกันไม่ติดเสียด้วยซ้ำ

The Call of the Wild (2020) เสียงเพรียกจากพงไพร

The Call of the Wild (2020) | เสียงเพรียกจากพงไพร | B
Director: Chris Sanders
Genres: Adventure | Drama | Family

เรื่องราวการผจญภัยเป็นของสุนัขพันธุ์เซนต์เบอร์นาร์ด ชื่อว่า"บั๊ก" เริ่มตั้งแต่อยู่บ้านหลังใหญ่ในครอบครัวที่อบอุ่นจนไปถึงแดนหิมะที่หนาวเย็น สิ่งเห็นในช่วงแรกคือการเป็นสุนัขที่เอาแต่ใจรักสนุก เป็นที่รักใครหลายคน แต่ความขี้เล่นเกินขอบเขตสร้างความลำบากใจบ่อยครั้ง ซึ่งนั้นทำให้โดนทำโทษนอนนอกบ้านก่อนจะถูกจับไปขาย แล้วส่งต่อไปเรื่อยๆจนกลายเป็นสุนัขลากเลื่อนส่งจดหมาย

365 Days (2020) 365 วัน

365 Days (2020) | 365 วัน | C
Director: Barbara Bialowas, Tomasz Mandes
Genres: Drama

หนังสัญชาติโปแลนด์ที่มาพร้อมกับความอีโรติคที่แวบไปแวบมาจนคล้ายมีการสอดใส่กันจริง โดยเฉพาะการทำ Oral Sex ที่เห็นชั่วอึดใจว่าปากนั้นบ๊วบเห็นๆ แล้วดูจากกระพุ้งแก้มที่มีการดูดก็แสดงให้เห็นถึงความกล้านำเสนอ อีกทั้งเป็นการท้าทายมุมกล้องที่หลบแล้วแต่ให้เห็นเพียงเสี้ยววินาที ใครตาไวก็เห็น ใครไม่ทันก็พลาดไป แต่ไม่ได้แปลว่าจะมีเซ็กซ์กันจริงหรอกนะ

Sonic the Hedgehog (2020) โซนิค เดอะ เฮดจ์ฮ็อก

Sonic the Hedgehog (2020) | โซนิค เดอะ เฮดจ์ฮ็อก | B-
Director: Jeff Fowler
Genres: Action | Adventure | Comedy | Sci-Fi

ในส่วนของเกมนั้นเล่นบ้างเป็นบางภาค ไม่ได้ติดตามเป็นจริงเป็นจังเท่าไรนัก แต่ทุกครั้งที่ได้เล่นล้วนสร้างความสนุกและฝึกสมองไม่ใช่น้อย ซึ่งการสร้างเป็นหนังนั้นในตอนแรกยังลุ้นอยู่ว่าจะออกมาลักษณะไหน จนกระทั่งตัวอย่างแรกได้ปล่อยมาพร้อมกับความผิดหวังมหาศาลของแฟนๆทั่วโลก โดยเฉพาะหน้าตาโซนิคที่ใกล้เคียงความเป็นมนุษย์มากเกินไป ทำเอาทีมงานต้องกลับไปแก้ไขกันยกใหญ่ก่อนจะได้คำชมที่เหมือนกับต้นฉบับ

Kingdom (TV Series 2019 - ) ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด Season 2

Kingdom (TV Series 2019 - ) | ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด | Season 2 | B+
Genres: Action | Drama | History | Horror | Thriller

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ" อันที่จริงไม่ต้องแบ่งออกมาเป็นซีซั่น 2 ก็ได้นะ ควรจะรวมเป็นซีซั่นเดียวกันไปเลย ซึ่งจะได้ 6+6 = 12 ตอน เพราะมีความต่อเนื่องสูงมาก อยากได้อรรถรสต้องย้อนไปเริ่มต้นใหม่เพื่อประติดประต่ออารมณ์ไม่ให้เกิดความค้างคา แต่ถ้ามองในแง่การแบ่งสเกลเนื้อเรื่องจะเห็นว่าแต่ละซีซั่นมีความต่างกันพอสมควร จากซีซั่นแรกเน้นการผจญภัย มีจุดเริ่มต้นและปริศนาหลายอย่าง ถัดมาอีกซีซั่นจะกระจายน้ำหนักด้านการเมืองและไขปริศนาที่ตั้งโจทย์ไว้

Scream 4 (2011) หวีด...แหกกฏ

Scream 4 (2011) | หวีด...แหกกฏ | B+
Director: Wes Craven
Genres: Horror | Mystery

"Don't Fuck With The Original"

เอาจริงๆเลยกับ Scream ภาคนี้ที่เหมือนจะไม่มีประเด็นอะไรมาเล่นแต่ยังรู้จักก้าวไปกับสมัยได้อย่างมีชั้นเชิงจนตัวเองแอบปลื้มๆกับสไตล์เนื้อเรื่องภาคนี้อย่างมากจนชอบพอๆกับภาคแรกที่ไม่ต่างกับการบุกเบิกธรรมเนียมหนังสยองขวัญด้วยการเสนอภิปรายกฎหนังสยองให้ฟังพร้อมหาข้อปฏิบัติเพื่อแสดงผลให้ดูว่าเพราะอะไรยังไงต่อไป ไม่ว่าจะเป็นตัวละครที่ไม่ได้เป็นมากกว่าตัวละครที่ถูกเชือดเพื่อให้ตายแต่มันต้องแสดงถึงกลเม็ดวิธีบางอย่างออกมาตามกฎ หรือจะสถานที่ที่ไม่เชิงว่าปิดตายแค่ขอมีสติพร้อมจะวิ่งออกนอกบ้านตามประตูหน้าต่างแทนที่จะวิ่งขึ้นบันได แม้กระทั่งแรงจูงใจของบรรดาเหล่าฆาตกรภายใต้เบื้องหลังแต่ละคนว่าทำไปเพื่อเจตนารมย์สิ่งใดอย่างมีเป้าหมาย ไม่ใช่เพื่อสนองความอยากอย่างงไร้เหตุผล สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ตั้งเป้าเอาไว้ว่าทุกสื่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นใน Scream ต้องมีวัตถุประสงค์ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผลลัพธ์จะลอยลงมาอย่างไม่มีเหตุให้อธิบายแบบหนังทั่วๆไปที่ตายกันง่ายบ้างโชว์ความงี่เง่าบ้าง ซึ่งเอาเข้าจริงภายใต้สถานการณ์เหล่านั้นเราเองก็เป็นแบบนั้นได้เช่นกัน อย่ามานั่งบ่นเวลากำลังรับชมหนังให้ใครฟังว่ามันก็อีหรอบเดิม สูตรเดิม จะเชือดจะตายยังไงเดาได้หมด ขาดความสดใหม่ปราศจากความคิดสร้าสรรค์ มาลองโดนไล่ฆ่าดูหน่อยไหมจะได้รู้ซึ้งเหตุผลที่ทำไมตัวละครไม่มีอะไรให้เซอร์ไพรส์ เพราะเรื่องเซอร์ไพร์สคือเรากำลังโดนเชือด

Scream 3 (2000) สครีม 3 หวีดสุดท้ายนรกยังได้ยิน

Scream 3 (2000) | สครีม 3 หวีดสุดท้ายนรกยังได้ยิน | C+
Director: Wes Craven
Genres: Horror | Mystery

ภาคแรกกลายเป็นตำนานสะเทือนหนังเชือดด้วยการนำกฎเหล็กมาตีแผ่กันอย่างเชือดเฉือนดุเด็ดเผ็ดมันส์อย่างลงตัวจนกลายเป็นหนังขึ้นหิ้งในหมู่คอหนังสยองขวัญห้ามพลาดเป็นอันขาด ส่วนภาคสองดำเนินเจตนารมย์เช่นภาคแรกด้วยการเสนอกฎเหล็กที่เกิดขึ้นในหมู่หนังเชือดมายกตีประเด็นเช่นเคยแต่จะเจาะเข้าลึกทางคนดูมากขึ้นกว่าตัวหนัง แม้จะก่ำกึ่งเรื่องเสียงวิจารณ์ในระดับค่อนข้างดีถึงปานกลางก็ตามทว่ายังทำออกมาสนุกเด็ดไม่ซ้ำใครเช่นเคยในแง่การประชดประชัน และเมื่อเป็นเช่นนั้นการมีอีกภาคให้ครบไตรภาคจึงได้เกิดขึ้นโดยวางไว้ให้เป็นหนังเชือดคั่นกระแสที่แสดงถึงบทสรุปทั้งหมดที่มีมา และเจ้าบทสรุปภาคสามนี่เองที่ทำ Scream ต้องจบลงแบบยิ่งกว่าก่ำกึ่งเพียงเพราะคำว่า"แถ"มีมากเกินยอมรับที่ได้จากไคลแม็กซ์ของเรื่องกับความจริงว่าใครคือฆาตรกรตัวจริง แต่นั้นไม่สำคัญเท่าแรงจูงใจที่พากันอุทานในสิ่งที่เกินคาดคะเนว่ายังอุตส่าห์คิดได้เหมือนพึ่งใส่จนกลายเป็นเรื่องไกลตัวในสิ่งที่ผู้ชมคิดเอาไว้ในกรอบว่าควรจะเป็นคนนี้ แต่เมื่อกลายเป็นคนที่คาดไม่ถึงก็ยังยืนยันได้อย่างหนึ่งว่าต่อให้เนื้อเรื่องจะไม่ใช่สิ่งใหม่(ซ้ำยังทำให้ปวดหัวกับตัวจริง) ถ้ายังทำให้ผู้ชมเซอร์ไพร์สได้ก็ไม่เท่ากับว่าภาคต่อหนนี้จะแย่แค่ไม่ถูกปากในความสดใหม่เท่านั้นเอง

Scream 2 (1997) หวีดสุดขีด 2

Scream 2 (1997) | หวีดสุดขีด 2 | C+
Director: Wes Craven
Genres: Horror | Mystery

ปกติถ้าหนังภาคแรกออกมาดีย่อมมีภาคต่อเป็นพิธีอยู่แล้วแต่กับเรื่องนี้ไม่ใช่แบบนั้นถ้าตั้งใจทำออกมาทันทีเป็นไตรภาคโดยไม่ต้องรอว่าภาคแรกจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ดังนั้นแทบไม่ต้องอะไรเลยเมื่อภาคแรกจะเฟอร์เฟคขนาดนั้น Miramax ย่อมไฟเขียวต่อโดยปริยายและแน่นอนต้องมีอีกภาคต่อให้จบครบสามองค์แน่นอน แต่หนนี้ขอกล่าวถึงองค์ที่สองในภาคต่อที่ยังคงเช่นเคยกับนักแสดงชุดก่อนที่เหลือรอดไม่ว่าจะซิดนี่ย์ เพรสค็อตต์ (Neve Campbell) ที่ตอนนี้ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว หรือจะเพื่อนสนิทแรนดี้ (Jamie Kennedy) ที่รอดชีวิตมาด้วยกันอย่างหวุดหวิด รวมถึงดิวอี้ (David Arquette) นายตำรวจในภาคแรกที่ยังไม่ทิ้งห่างซิดนี่ย์ด้วยความเป็นห่วง และที่ยังเป็นไม้เบื่อไม้เมาไม่หายคือเกล (Courteney Cox) นักข่าวที่ตามติดทุกเวลาเพื่อล่าข่าวให้ได้ข้อมูลก่อนใครและสมจริงที่สุด และแน่นอนว่าในหนนี้ย่อมมีสมาชิกเพิ่มเข้ามาใหม่กับเพื่อนใหม่ๆที่มีทั้งเดเร็ค (Jerry O'Connell) หนุ่มนักเรียนแพทย์ที่ไม่ใช่แค่เพื่อนเฉยๆแต่เป็นรักใหม่ของซิดนี่ย์ , ฮอลลี่ (Elise Neal) , ซีซี่ (Sarah Michelle Gellar) สาวนักเรียนในชั้นภาพยนตร์ และมิคกี้ (Timothy Olyphant) เพื่อนสนิทฝ่ายเดเร็ค ที่สำคัญยังไม่ลืมที่จะเพิ่มแม้กระทั่งบทของตากล้องที่ตีคู่มากับเกลกับโจเอล (Duane Martin) ที่ไม่รู้ว่าชะตากรรมจะเช่นคนเก่าหรือเปล่า นอกจากนักแสดงที่ขนมาอย่างเยแล้วยังมีเจ้าเก่าที่ขาดไม่ได้คือผู้กำกับ Wes Craven ที่มาเติมความสยองกันถึงที่

Scream (1996) หวีดสุดขีด

Scream (1996) | หวีดสุดขีด | A-
Director: Wes Craven
Genres: Horror | Mystery

กฎข้อแรก"จงอย่าได้มีเซ็กซ์เป็นอันขาด"
ข้อสอง"อย่ายุ่งกับสิ่งเสพติดทุกชนิด"
ข้อสามอย่าบอกว่า"ฉันจะกลับมา"
และข้อสุดท้าย"ทุกคนเป็นผู้ต้องสงสัย"

นี่คือพื้นฐานเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับสูตรหนังสยองขวัญทั้งหลายแหล่ที่ซึ่งล้วนหลีกหนีข้อดังกล่าวทุกใดข้อหนึ่งไม่ได้หมด เว้นแต่ว่านั่นจะเป็นมากกว่าหนังสยองขวัญเพี้ยวๆ อย่างข้อแรกที่ว่าเรื่องเซ็กซ์อันเกิดจากความกระหายของช่วงวัย โดยเฉพาะวัยรุ่นอันแสนอยากลองพิสูจน์เรื่องเพศจนเป็นธรรมเนียบที่ต้องพบประจำแทบทุกๆเรื่องที่อย่างน้อยจะหาเวลามีอะไรกันได้ตลอดแม้สถานที่จะไม่อำนวยเลยก็ตาม ซึ่งเป็นจังหวะของผู้ชมที่อยากดูบ้างล่ะมีของดีโชว์บางล่ะ แต่เรื่องแบบนี้ดันชอบกันจริงเพราะมันมีอารมณ์เป็นภูมิหลังช่วยเสริม จึงไม่แปลกอะไรเท่าไหร่ว่าหนังสยองจำเป็นต้องมีมากกว่าการฆ่าได้ซึ่งเลือดกับศพ เนื่องจากเป็นการเจาะเข้ากลุ่มวัยรุ่นให้ออกมาเร้าใจคล้ายกับต้องสยองแล้วต้องกระตุ้นด้วย ดังนั้นหนังสยองขวัญจึงมีผลพวงเรื่องเพศอยู่ทั้งการแต่งกาย และอิทธิพลอีกหลายอย่างอันไม่จำเป็นที่นำพามาสู่เรื่องเซ็กซ์ได้ เช่นกับการหาความสุขใส่ตัวแต่หารู้ไม่ว่าจะเป็นจุดจบของชีวิตได้เช่นกันเมื่อนางเอกที่รอดมักจะเป็นสาวพรหมจรรย์แสดงถึงความบริสุทธิ์ผิดกับตัวละครอื่นๆที่ตายเพราะมีเซ็กซ์กันแล้ว เป็นอีกหนึ่งมุมมองแสดงถึงการกระทำแห่งบาป หรือความสะอาดอันได้รับการปนเปื้อนจนต้องชำระล้างด้วยการกำจัด ซึ่งนั่นแหละเป็นมุมสะท้อนวิถีชีวิตของชาวตะวันตกที่มองว่าเป็นเรื่องปกติทั้งที่น่าจะห้ามๆเอาไว้บ้าง ทั้งนี้ยังมีเหตุผลอื่นๆอีกมากมายเกี่ยวกับเซ็กซ์ว่าทำไมต้องเพราะเช่นนี้อย่างเรื่อง Friday the 13th ที่กล่าวกันว่ามีสูตรตายตัวเรื่องตัวละครมีเซ็กซ์แล้วพบอันเป็นไปบ่อยมาก แต่หารู้ไม่ว่าเมื่อมองความเข้าใจในจุดนี้ตั้งแต่ภาคแรกจะรับรู้ว่านี่คือปมประเด็นอย่างหนึ่งที่สะท้อนชีวิตวัยรุ่นออกมาว่าเห็นแก่ตัวมากแค่ไหน

Mosquito (1994) ยุงมรณะ

Mosquito (1994) | ยุงมรณะ | C
Director: Gary Jones
Genres: Horror | Sci-Fi

ยุงคือสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่สร้างความรำคาญและโรคแก่มนุษย์อยู่เสมอ จัดการเท่าไรก็ไม่หมดไปจากโลก สิ่งที่ทำได้คือการป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกยุงกัด หรือช่วยกันเฝ้าระวังไม่ให้เกิดน้ำขัง ไม่เช่นนั้นยุงจะวางไข่สร้างลูกสร้างหลานอีกนับไม่ถ้วน แต่จะเป็นยังไงหากยุงไม่ได้ตัวเล็กอีกต่อไป เมื่อยุงได้กลายพันธุ์มีขนาดใหญ่ขึ้นหลายร้อยเท่า

Birds of Prey: And the Fantabulous Emancipation of One Harley Quinn (2020) ทีมนกผู้ล่า กับฮาร์ลีย์ ควินน์ ผู้เริดเชิด

Birds of Prey: And the Fantabulous Emancipation of One Harley Quinn (2020) | ทีมนกผู้ล่า กับฮาร์ลีย์ ควินน์ ผู้เริดเชิด | B+
Director: Cathy Yan
Genres: Action | Adventure | Comedy | Crime

ตอนได้เห็น Suicide Squad (2016) คือความคาดหวังที่จะมาฉีกแนวซูเปอร์ฮีโร่ ได้เห็นตัวร้ายมากอบกู้โลกด้วยวิธีแบบร้ายๆบ้าง แต่คาดหวังไว้สูงจึงต้องเจ็บมากตามไปด้วย ทั้งที่มีของให้ใช้หลายอย่างก็ดูเหมือนยังขาดแล้วขาดอีก ทำให้ตัวละครที่มีเสน่ห์มากสีสันไม่ได้สอดคล้องกับเนื้อเรื่องที่น่าจะมีมิติมากกว่านั้น พอผิดหวังทำให้ความอยากดูต่อไปจึงน้อยลง

Extraction (2020) คนระห่ำภารกิจเดือด

Extraction (2020) | คนระห่ำภารกิจเดือด | B+
Director: Sam Hargrave
Genres: Action | Thriller

ไม่ง่ายเลยที่เห็น Chris Hemsworth กับหนังที่จดจำสักเรื่อง เพราะนอกจากเป็นเทพเจ้าสายฟ้าอย่าง ธอร์ แล้วก็หาหนังที่น่าจดจำหรือดีๆได้น้อยเต็มที (ยกเว้น The Cabin in the Woods (2011) กับฉากขี่มอเตอร์ไซค์พุ่งข้ามฝั่ง ก่อนจะเจอเข้ากับบางอย่างที่สร้างความช็อกคนดูถึงขีดสุด) ส่วนเรื่องนี้นั้นให้ความรู้สึกทั้งสองอย่างคือไม่น่าจดจำกับถึงอารมณ์ความมันส์

Underwater (2020) มฤตยูใต้สมุทร

Underwater (2020) | มฤตยูใต้สมุทร | B-
Director: William Eubank
Genres: Adventure | Horror | Sci-Fi | Thriller

"เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ"

เปิดเรื่องเห็น Kristen Stewart แปรงฟันหน้ากระจกไม่กี่นาที หลังจากนั้นเกิดระเบิดตู้มต้ามประหนึ่งหนังแอ็คชั่นที่ดูมันส์มากกว่าลุ้นเอาตัวรอด (จังหวะในตอนนั้นใช้มุมกล้องสั่นและรัวๆด้วยระเบิด) ต่อมารวบรวมคนที่ยังเหลือรอดเพื่อหาทางออกจากสถานีขุดเจาะใต้มหาสมุทร แต่แล้วต้องพบว่ามีบางสิ่งต้องการเอาชีวิตพวกเขา

Back to the Future Part III (1990) เจาะเวลาหาอดีต ภาค 3

Back to the Future Part III (1990) | เจาะเวลาหาอดีต ภาค 3 | A
Director: Robert Zemeckis
Genres: Adventure | Comedy | Sci-Fi | Western

ในหมู่หนังไตรภาคทั้งหลายตั้งแต่สัมผัสรับชมมา ไม่มีหนังเรื่องไหนจะทำให้รู้สึกต่อเนื่องจนหยิบทั้งสามภาคมาชมติดๆกันได้ขนาดนี้เลย อารมณ์ประมาณว่าจบภาคแรกต้องต่อสองแต่พอจบสองมันต้องอีกสาม

Back to the Future Part II (1989) เจาะเวลาหาอดีต ภาค 2

Back to the Future Part II (1989) | เจาะเวลาหาอดีต ภาค 2 | A
Director: Robert Zemeckis
Genres: Adventure | Comedy | Sci-Fi

ภาคแรกจบไปซะแบบนั้นแล้วจะไม่ให้มีภาคต่อคงเป็นไปไม่ได้ในเมื่อลงทุนไป 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐแต่ได้กำไรมาถึง 381 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันจริงตั้งใจทำเป็นไตรภาคเดินเรื่องรวดเดียวแบบไม่ต้องพักต่างหาก นี่สิถึงจะมันส์ขนาดแท้ กลับมาเข้าที่เนื้อเรื่องที่สานต่อจากตอนจบภาคแรกที่ว่าด้วยดร.เอ็มเมท บราวน์ (Christopher Lloyd) ใช้รถเจาะเวลาไปอนาคตในปี 2015 ก่อนจะกลับมาในปี 1985 อีกครั้งเพื่อมาบอกมาร์ตี้ (Michael J. Fox) เรื่องลูกในอนาคตที่กำลังจะพบปัญหาชิ้นใหญ่ที่จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตไป ทำให้งานนี้ทั้งด็อกทั้งมาร์ตี้ต้องเดินทางไปอีก 30 ปีข้างหน้าเพื่อไปแก้ไขปัญหานี้ให้จบลงด้วยดี ทำให้การผจญภัยครั้งใหม่ได้เริ่มขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ทว่าปัญหาของการไปอนาคตครั้งนี้ได้ส่งผลไปยังอดีตจนผิดเพี้ยนไปจากเดิมอย่างมหาศาลเมื่อด็อกกับมาร์ตี้ได้ย้อนกลับมาเวลาเดิมในปี 1985 แล้วพบว่าทุกอย่างผิดปกติไปหมดทั้งบ้านเมืองที่ตอนนี้ถูกคุกคามจากเหล่าอาชญากรรมจนไร้วี่แววของความสงบสุข โรงเรียนแหล่งความรู้ถูกทำลาย สังคมมีความป่าเถื่อน แต่เพราะอะไรแม้แต่ด็อกยังแปลกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะมันไม่น่าจะเป็นไปได้เลยสักนิดเดียว จะมีเบาะแสอยู่อย่างคือผู้นำแห่งโลกความรุนแรงนี้คือบีฟ เทนเนนท์ (Thomas F. Wilson) แล้วทำไมเขาคนนี้ถึงกลายเป็นผู้นำที่มีอำนาจรวยล้นฟ้าได้ทั้งที่หลังจากกลับมาจากอดีตพร้อมแก้ไขปัญหาไปแล้วก่อนหน้านี้ยังเป็นคนใช้อยู่เลย จึงเป็นเหตุสงสัยที่ด็อกกับมาร์ตี้ต้องช่วยกันหาเบาะแสตัวการว่าทำไมเวลาถึงเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้ ทั้งยังต้องสืบให้ได้ว่าควรทำยังไงจึงจะเปลี่ยนเวลานี้ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง กระนั้นมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง และพวกเขาก็หยุดคิดเฉยๆไม่ได้ด้วย

Back to the Future (1985) เจาะเวลาหาอดีต

Back to the Future (1985) | เจาะเวลาหาอดีต | S
Director: Robert Zemeckis
Genres: Adventure | Comedy | Sci-Fi

"ขอรับประกันว่าถ้าพูดถึงหนังไซไฟสักเรื่องที่เกี่ยวกับเวลาต้องมี Back to the Future ติดโผล่ในอันดับหนังที่อยากแนะนำอย่างแน่นอน"

เรื่องได้เกิดขึ้นในปี 1985 กับหนุ่มมาร์ตี้ แมคฟลาย (Michael J. Fox) ที่มีชีวิตครอบครัวอันตกต่ำเพราะถูกกดดันจากบีฟ เทนเนนท์ (Thomas F. Wilson) ผู้เป็นหัวหน้างานเจ้าบงการให้จอร์จ แมคฟลาย (Crispin Glover) พ่อของเขาทำงานให้แทน ซึ่งนั้นกลายเป็นปัญหาสุดหน่ายของมาร์ตี้ที่น่าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ทว่าเหมือนเรื่องราวกำลังจะเปลี่ยนไปจากการรู้จักดร.เอ็มเมท บราวน์ (Christopher Lloyd) นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง ผู้สามารถค้นคิดประดิษฐ์อุปกรณ์ทดลองต่างๆมากๆไม่ต่างกับของเล่น แต่วันนี้ได้อุปกรณ์ชิ้นใหม่ที่ไม่เหมือนอย่างเคยเพราะสิ่งนั้นคือไทม์แมชชีน เป็นยานเจาะเวลาที่สร้างขึ้นมาจากรถยนต์ธรรมดาคันหนึ่งที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานอะตอมนิวเคลียร์ โดยคืนนี้จะมีการทดลองใช้รถข้ามเวลานี้ว่าสามารถใช้งานได้จริงหรือไม่ ทว่าหลังจากผ่านการทดลองไปได้ด้วยดีก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเข้าจนเป็นเหตุบังเอิญทำให้มาร์ตี้เจาะเวลาข้ามไปอดีตอย่างไม่ทันตั้งใจ และเวลาที่มาร์ตี้ย้อนกลับไปคือ 30 ปีก่อน เป็นปี 1955 นอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาที่เขายังไม่เกิดแน่ๆ ซึ่งรวมถึงพ่อกับแม่ (Lea Thompson) ของเขายังไม่รักกันด้วย ซึ่งปัญหามันอยู่หลังจากนี้ที่ว่าเขาจะกลับบ้านยังไงในเมื่อพลังงานหมด

Basket Case 3 (1991) มันแอบอยู่ในตระกร้า 3

Basket Case 3 (1991) | มันแอบอยู่ในตระกร้า 3 | C+
Director: Frank Henenlotter
Genres: Comedy | Horror

กลับมาต่อเนื่องหลังจากภาคที่แล้ว ดเวน (Kevin Van Hentenryck) เกิดสติแตกที่ต้องผิดหวังในความรักเพราะคิดว่าคนที่ตัวเองรักคือคนปกติเหมือนเขา แต่กลายเป็นว่าไม่ต่างกับตัวประหลาดที่มีร่างกายไม่เหมือนคนปกติ ทำให้เขารู้สึกเคว้างคว้างจนต้องทำร้ายคาร์ไลล์ พี่ชายหรือแฝดที่เกิดมาตัวติดกัน แต่ต่างกันที่ไม่มีร่างกายสมประกอบ มีเพียงแขนและหน้าตาที่รวมเป็นก้อนไม่ต่างจากชิ้นเนื้อชิ้นหนึ่ง

Basket Case 2 (1990) มันแอบอยู่ในตระกร้า 2

Basket Case 2 (1990) | มันแอบอยู่ในตระกร้า 2 | C+
Director: Frank Henenlotter
Genres: Comedy | Horror

ภาคต่อที่ทิ้งห่างจากภาคแรก 8 ปี แต่เล่าเรื่องต่อเนื่องติดกัน ทำให้นักแสดงอาจดูผิดหูผิดตาไปบ้างเล็กน้อย ซึ่งเรื่องจะพูดถึงหลังจากที่ ดเวน (Kevin Van Hentenryck) กับพี่ชายที่เป็นก้อนเนื้อมีชีวิตตกลงจากอาคาร จากตอนจบนั้นทำให้คิดว่าเป็นโศกนาฏกรรมด้วยการจบชีวิตทั้งคู่ ทว่าพวกเขากลับรอดมาได้ แล้วยังเป็นที่ตื่นตาของประชาชนจนเป็นที่ต้องการของสื่อที่อยากเจอตัวมากที่สุด อีกทั้งยังมีคดีเก่าฆ่าคนอีกด้วย

Basket Case (1982) มันแอบอยู่ในตะกร้า

Basket Case (1982) | มันแอบอยู่ในตะกร้า | B
Director: Frank Henenlotter
Genres: Comedy | Horror

"เพราะฉันนั้นคือเนื้องอก"

ภาพที่เห็นบางทีตัดสินใจบางเรื่องได้ไม่ตรงตามจริงเสมอไป อย่างหนังเรื่องนี้ที่ภายนอกคือหนังสยองขวัญเรื่องหนึ่ง ไม่ได้ทำองค์ประกอบให้ดูดีหรือสมจริงสักเท่าไร บางฉากไม่เนียนแล้วดูเหมือนมือสมัครเล่นด้วยซ้ำ แต่ด้วยความคัลท์เนื้อเรื่องไม่เหมือนคนอื่นหรือหาเปรียบเทียบได้ยากจึงไม่ใช่หนังธรรมดาอย่างที่เห็นเสมอไป
รูปภาพของฉัน
เกิดปี 2538 (1995) แค่คนที่เรียนจบสาธารณสุขศาสตร์ แต่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ ที่เขียนรีวิวเพราะอยากแบ่งปันความรู้สึกที่ตัวเองมีให้อ่าน และกำลังทำช่อง YouTube เกี่ยวกับหนังสือ(การ์ตูนเป็นหลัก)